South By South West (SXSW) 2019 เป็นงานเทศกาลที่จัดอย่างยิ่งใหญ่มานาน 32ปี ที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเนื้อหาของงานจะแบ่งออกเป็น เรื่องธุรกิจ, การตลาด, Branding, Interactive, ดนตรี และ ภาพยนตร์
ด้วยจำนวนคนที่มาร่วมงานทั้งหมดมากกว่า 70,000 คน แต่ถ้ารวมคนทั้งหมดที่ทำให้เกิดงานนี้ ทั้งคนจัดงานและทุกสิ่งอย่าง ก็ต้องบอกว่า ตัวเลขที่สรุปมาได้ในปี 2018 นั้นมีมากถึง 2แสนกว่าคนเลยทีเดียว
จากที่ได้มาฟังบรรยายในงานตลอด 5 วันแรก ซึ่งถือว่าเป็น 5 วันของเรื่องการตลาด, ธุรกิจ, Branding, Interactive, Design ก็ได้พบว่ามีหลายเรื่องที่ถูกพูดถึง และอีกหลายเรื่องที่พูดถึงน้อย หรือกลายเป็น “เรื่องตลก” ที่จะพูดถึงกันในงานเลยทีเดียว!
เรื่องไหน in เรื่องไหน out มาดูกัน..
AI, Machine Learning
หมดเวลาที่จะมาพูดเรื่อง AI และความสำคัญของมันในการที่จะมาเปลี่ยนโลกกันแล้ว! และแน่นอนว่าไม่มีใครพูดกันแล้วว่า AI จะมาแย่งงาน AI จะมาล้างโลก ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ AI ยังกลายเป็น “เรื่องตลก” ที่จะพูดถึง
มีประมาณ 2 sessions ที่มีโอกาสได้เข้าไปฟัง แล้วพอผู้บรรยายอ้างถึง AI ตัวผู้บรรยายเองยังพูดติดตลกเลยว่า “AI อีกแล้วววววว ม่าาายยยยย..” คือประมาณว่า พวกฉันเอียนกันหมดแล้วล่ะ!
ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าเรื่อง AI จะไม่สำคัญเค้าจึงไม่พูดถึง แต่เป็นเรื่องที่เค้ารู้กันแล้วว่ามันสำคัญอย่างไร และจะต้องสร้างมันอย่างไร แต่ความสำคัญของมันที่เค้าพูดถึงกันมีมากกว่านั้น.. ซึ่งกลายเป็นหัวข้อสำคัญที่ถูกพูดถึงมากกว่า นั่นคือ..
Ethic, Privacy, Discentralize จริยธรรม
จรรยาบรรณ สิทธิส่วนบุคคล และการกระจายข้อมูล
เมื่อทุกคนพยายามสร้าง AI แต่อย่างที่เรารู้กันว่า AI นั้นจะขับเคลื่อนได้ดีก็ต้องมี Data หรือข้อมูลที่จะช่วยทำให้ AI เก่งขึ้นฉลาดขึ้น คำถามคือจำนวน Data ที่จำเป็นต้องไปขวนขวายหามาจำนวนมากนั้น เราควรจะจัดการกับมันอย่างไร?
Session หนึ่งที่พูดถึงคือ Designing Against a Data dystopia คือเราจะออกแบบอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลในยุคมืด ข้อมูลในยุคที่อาจจะถูกนำไปใช้มากเกินไปจนกลายเป็นผลร้าย มากกว่าผลดี ซึ่งใน session นี้ก็ได้ยกตัวอย่างถึงซีรีย์สดัง Black Mirror ตอน “Nosedive” ที่พูดถึงยุคที่ทุกคนต้องให้ rating ซึ่งกันละกัน แต่สุดท้ายสิ่งที่คิดว่าจะดีกลับกลายเป็นผลร้าย
การที่บริษัทใหญ่ยักษ์หลายที่มีข้อมูลส่วนตัวของมนุษย์เป็นจำนวนมากนั้น วันนี้กลับไม่ใช่เรื่องดีเลย ตรงกันข้ามกลับเป็นเรื่องที่น่ากลัว และนี่คือสิ่งที่ที่นี่กำลังพูดถึงอย่างมาก
เรื่องอื่น ๆ เช่น Social Media
นี่ไม่ต้องพูดถึง ถือว่าจบไปแล้ว ไม่มีใครสนับสนุนความคิดที่จะเอาธุรกิจของตัวเองไปพึ่งพา platform ของคนอื่น ไม่เห็นด้วยที่ต้องคอยปรับตัวเมื่อ facebook หรือ instagram เปลี่ยน algorithum
ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ Gywneth Paltrow ดาราฮอลลีวูดที่ผันตัวมาเป็นเจ้าของธุรกิจ Goop.com ยังบอกเลยว่า “ตัวเธอเองนั้นไม่เล่น facebook เลย และไม่สนับสนุนที่จะต้องปล่อยให้ธุรกิจของเราอยู่ภายใต้ platform ของคนอื่น”
VR, AR, MR, XR !!!!
VR (Virtual Reality) AR (Augmented Reality), MR (Mixed Reality) และ XR (Extended Reality) กลายเป็นเรื่องที่พูดถึงกันอย่างมาก มีธุรกิจจำนวนมากที่ลงมาทำ VR, AR, XR, MR นำเทคโนโลยีเหล่านี้มาต่อยอดทั้งด้านการศึกษา เอนเตอร์เทนเม้นท์ การแพทย์ หรือเพื่อช่วยเหลือผู้พิการ แม้แต่แบรนด์เครื่องเสียงระดับโลกอย่าง Bose ก็ยังเปิดตัว Bose AR และแว่นตาที่สามารถมองแทนตาเราได้สำหรับผู้พิการ
ขณะที่เรื่อง VR AR MR XR เหล่านี้เมืองไทยเหมือนจะค่อย ๆ เงียบลง แต่ในต่างประเทศเค้าแค่รอวันที่จะระเบิดตัวขึ้นเท่านั้นเอง
มองทิศทางจากต่างประเทศ จากนั้นลองกลับมามองดูตัวเราและธุรกิจเรา แล้วลองนำมาปรับใช้ เผื่อจะได้แนวทางในการต่อยอดให้ทันโลกนะครับ