#มัด100 เรื่องการตลาด ทั้งเรื่องเทรนด์ เทคนิค กลยุทธ์จากผู้เชี่ยวชาญ และแบรนด์ต่าง ๆ มากมาย จากงาน MARKETING CONFERENCE 2025 โดย CREATIVE TALK และ Content Shifu
1. ในปี 2026 ทุกคนต้องทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นนักการตลาดอยู่แล้ว หรือเป็น CEO, Content รวมถึงนักแต่งเพลงก็ยังคงต้องทำการตลาดเช่นกัน
2. นักการตลาดต้องไม่ใช่แค่มี Creative ธรรมดา แต่ต้องเป็น Ultra Creativity ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราฉีกออกจากคนอื่น ๆ รวมไปถึง AI ด้วย แล้วในการมี Creative ต้องมี 2 อย่าง ประกอบด้วย Customer Centricity อย่าทำอะไรโดยที่ไม่สนใจลูกค้า และ Curiosity & Observation คือ การเป็นคนช่างสงสัยเสมอ และช่างสังเกตอยู่ตลอดเวลา
3. ในปัจจุบันผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น มองหาความคุ้มค่าแบบรอบด้าน คือ คุณภาพสินค้า ประสบการณ์ Human Touch ที่จะสะท้อนตัวตนของเขา และคาดหวัง Multiple benefit
4. เทรนด์นักช้อปสายมู (MuMarketing) คนไทยกว่า 55% ใช้ให้ความมู มีอิทธิพลในการจับจ่าย ใช้สอยและการตัดสินใจมากขึ้น เพราะ มันอยู่ในรากฐาน มีความไม่มั่นใจต้องการความมั่นคง และเราอยู่ในโลกที่ความเชื่อสมัยดังเดิมผสานกับโลกปัจจุบันได้
5. ในอนาคต เราจะไม่ถามว่าเรามีลูกน้องกี่คน แต่เราจะถามว่า เรามี AI Agent กี่ตัว
6. เดอะแบกมีทุก Generation เพราะของที่ต้องแบกไม่เหมือนกัน อย่าง Gen Z มีความคาดหวังกับตัวเองสูง ผลักดันตัวเองสูง อยากประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว หา identity ของตัวเอง และ balance ความต้องการของตัวเองกับความคาดหวังของครอบครัว
7. คนไทยมองว่าเป้าหมายสำคัญ แต่ journey ต้องมีความสุขด้วย เพราะมันเหมือนกันกับการขับรถ ที่ต้องเติมน้ำมันระหว่างทาง แบรนด์ที่เห็นโอกาสตรงนี้ก็สามารถเข้าไปเติมเต็มได้
8. Gen Z ถูกพูดถึงบ่อยที่สุด เพราะเป็นผู้บริโภคกำลังหลักที่เติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปี ที่นักการตลาดต้องจับให้ได้ แต่ก็ไม่ง่าย เพราะพฤติกรรมของกลุ่มนี้มี Pattern ที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็น eco friendly หรือการเปรียบเทียบเรื่องราคา
9. Mindful consumption ทำให้คนใช้จ่ายไม่เหมือนกัน เพราะทุกคนมีเหตุผล แต่ความซับซ้อนของเหตุผลของแต่ละคนที่ไม่เท่ากันทำให้ Marketing มองเป็น Opportunity ได้
10. ทุกวันนี้การแข่งขันรุนแรงขึ้น แบรนด์ใหม่ ๆ เข้ามามากขึ้น แม้วันนี้แบรนด์จะเป็นตัวเลือก แต่ถ้าไม่ทำ Brand equity ระยะยาว ก็จะถูกลืม
11. ถ้าแบรนด์ของเราแข็งแกร่ง เราจะขายได้ในราคาที่สูงขึ้น เมื่อความคุ้มค่ามาคู่กับ Segmentation ความคุ้มค่าไม่ได้แปลว่าถูก อาจจะแพงก็ได้ แต่ในเมื่อลูกค้ารู้สึกว่าคุ้มค่า จุดนี้เลยทำให้การสร้างแบรนด์มีความสำคัญมากขึ้น
12. การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเยอะ พื้นฐานต้องแน่น สำหรับนักการตลาดคือ Customer journey เวลาจะทำอะไรให้ถามตัวเองก่อน เรารู้หรือยังว่าอยู่ส่วนไหนของ journey ของลูกค้า โดย Marketing ต้องรู้ว่าขายอะไรอยู่
13. โฟกัสต้องเป๊ะ ว่าเราจะโฟกัสที่ใคร เราไม่สามารถเป็นทุกอย่างให้ทุกคนในทุกเวลาได้ เพราะฉะนั้น เราดู segment เรา target คน เราเลือก platform ที่เหมาะ และเข้าใจเขาให้มากที่สุด แล้วก็โฟกัส เหมือนนักยิงปืนที่เน้นยิงแม่น ไม่เน้นยิงรัว
14. ใน 1 แคมเปญ หรือ 1 ชิ้นงาน นักการตลาดเคยทุ่มงบมหาศาล แต่เทรนด์ทุกวันนี้มันเปลี่ยน แต่สิ่งที่เวิร์คคือ micro engagement เช่น sub campaign ทำย่อยและทำบ่อย ๆ โยนลงไปไม่ติดทำใหม่ ถ้าจุดติดก็ spin ต่อ
15. ต้องล้อม consumer ให้ได้ ในฐานะคนสื่อสารอาจต้องคิดเยอะขึ้น รวมไปถึง marketing ด้วย หนัง 1 เรื่องจะให้คุ้มไม่ว่าจะเป็น หนังสั้น หนังยาว ในฐานะคนทำงานเราจะเสริม marketing ได้ดีมากถ้างานทุกชิ้นมี objective ที่ชัดเจน
16. ลูกค้ามักไม่รู้ว่าตรงไหนเกิด Story ได้ แต่ถ้าตีกรอบมาให้ชัดขึ้นเราในฐานะคน communicate จะรู้ว่าตรงไหนล้อได้
17. ในการขายของสามารถทำได้ตรง ๆ แต่การขายเลยทำได้ยาก เพราะลูกค้าส่วนมากจะกลัวคนไถหนีเลยอยากให้สินค้าออกภายใน 2-3 วิแรก แต่ถ้ามันออกมาเร็วไป แล้วประดักประเดิด ก็ควรออกมาให้ถูกเวลา
18. ในช่วงโควิดหมดใหม่ ๆ ทุกแบรนด์กำลังทำหนังโฆษณา 15 วิ แต่พูดได้แค่ 5 ประโยค แล้วแบรนด์ก็มีอะไรที่อยากเล่าเยอะมาก แล้วก็มาเจอวิธีที่เจ้าของสินค้าพูดได้เยอะขึ้น และมี platform ที่อนุญาติให้ขายของได้เยอะขึ้น แล้วคนดูก็ยังสนุกอยู่ จนไปเจอซิทคอม ซึ่งมีโลโก้แปะเต็มไปหมด แต่คนก็ happy ที่จะดู
19. พอแบรนด์เริ่มเข้าสู่การทำ Communication แบบใหม่ มันต้องการ Collaboration จากทั้ง Consumer และ Co-creation ซึ่งไม่ได้ Require ความยากอะไร อาจจะทำแค่มีมหรือทำ Challenge แต่เป็นสิ่งที่ทำให้สามารถต่อยอดจาก Communication ของแคมเปญเป็น participation แต่สุดท้ายจะลากไปสู่การปิดการขายได้
20. เราก้าวผ่านยุคของ AI vs Human ไปแล้ว ตอนนี้เป็นยุคของ AI Human Hybrid ก็คือต้องทำงานร่วมกัน เพราะ AI ทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้น แต่ Human หรือ Creativity ทำให้สิ่งที่เป็น branding มัน matters
21. Speed และ cost saving 2 เรื่องนี้คือ big impact ของการใช้ AI ในธุรกิจ โดยเฉพาะในฝั่งของ marketing ไม่ว่าจะทำ media planning campaign, execution ถัดมาในเรื่องของ Customer engagement ที่เราได้มากขึ้น และ cost ในการ Generate content ที่ต่ำลง
22. เมื่อ tools เอา AI เข้ามาใส่ brand business ต่าง ๆ เริ่มรู้สึกว่า data ของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะ tools สามารถเอาพฤติกรรมของลูกค้ามาใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นแบรนด์ต่าง ๆ เริ่มมองใน data ตัวเองว่าใช้ได้หรือเปล่า หรือคิดว่ามี data แต่จริง ๆ แล้วไม่มี ดังนั้นต้องกลับมาจัดระเบียบของการเก็บข้อมูลกันใหม่หมดเลย แต่ถือว่าดี เพราะเป็นก้าวแรกในการใช้ data ได้อย่างถูกต้อง
23. เทรนด์ที่น่าสนใจของ martech AI คือ 3 ปีที่ผ่านมา คนที่ได้ impact มากสุดคือ business user เพราะ AI มันทำให้เทคโนโลยีถูกเข้าถึงโดย user ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเรียนรู้ เพราะเทคโนโลยีเรียนรู้ภาษาของคน เลยทำให้ทุกวันนี้ business users มากกว่า IT users อย่างเดียว
24. ถ้าเรามี costumer data มีรากฐานที่ดีเราจะสามารถขยายฐานลูกค้าเดิมเก็บเงินให้ได้มากขึ้นหรือหาลูกค้ากลุ่มใหม่ ได้ง่ายขึ้น
25. Data มันกว้าง แล้วจะทำอะไรให้งอกเงย ต้องขึ้นอยู่ว่าเราอยากให้ธุรกิจงอกเงยยังไง Data จะช่วยให้ได้ผลมากขึ้น เช่น การหาเงินเพิ่มขึ้นกับลูกค้ากลุ่มเดิม หรือถ้ายากไปก็ไปหาลูกค้าใหม่ ถ้าตอบว่ายากทั้งคู่แปลว่า อาจจะยังมี data ไม่พอ
26. เตรียมรับมือเรื่อง AI แต่ถ้า Data ต้องถามว่า ทำยังไงให้เอามาใช้ได้สูงสุด จะเห็นได้ว่าทุกเดือน Data เปลี่ยนไป กว่าจะออกแคมเปญกับเทรนด์นั้นมันผ่านไปแล้ว อาจจะไม่ได้ประโยชน์สูงสุด
27. แต่ก่อนเราเดาว่าผู้บริโภคคิดอะไร แต่จากนี้ไปต้องเดาอย่างมีหลักการมากขึ้น ในยุคที่การตัดสินใจไปเร็วมาก เราเอาตัวเราไปตัดสินใจแทนลูกค้าไม่ได้ แต่สามารถให้ลูกน้องทำ tools ขึ้นมาเพื่อมองหาอะไรที่เรานึกไม่ถึง เพื่อ capture ตลาด
28. สิ่งที่สำคัญสำหรับ DATA อีกหนึ่งเรื่อง คือไม่ใช่การ Consolidate แต่ต้อง Ingest เข้ามารวมกันและสร้าง Insight จาก DATA เหล่านี้ให้ได้ ทำอย่างไรที่จะสามารถหา Unify Customer DATA ให้ได้ และ DATA ที่มีต้องเร็วให้ทัน AI ควรทำงานได้ง่าย เร็ว และเรียลไทม์
29. Make your brands unmissable on YouTube มี 3 เรื่องสำคัญ โดยอิงจากพฤติกรรมของลูกค้าในปีที่ผ่านมา มาตีความเป็น implication และโอกาสในการทำการตลาด รวมไปถึงรูปแบบและเครื่องมือของ YouTube ที่มี คือ
- Fluid viewing - พฤติกรรมการดูคอนเทนท์วิดีโอของคนเปลี่ยนไป การทำแคมเปญและเตรียมชิ้นงานจะต้องปรับตามไปในทางไหน
- Rich culture and Fandom - เราจะเข้าไปอยู่ในความ “ด้อม” ของคนเหล่านี้ได้อย่างไร
- Enhanced streaming and shopping - เราจะต่อยอดการชมเป็นการช้อปได้อย่างไร
30. ไม่มีใครที่ดูคอนเทนต์เพียง Platform เดียว หรือคอนเทนต์ประเภทเดียว มีตัวเลือกในการเข้าถึงคอนเทนต์ที่หลากหลายสำหรับ Consumer สิ่งที่ YouTube เชื่อและเป็นมาโดยตลอดคือ การทำให้ตัวเลือกดีขึ้น พัฒนาขึ้น และตอบโจทย์พฤติกรรมการชม
31. เทรนด์การ Crossover content ใน YouTube เป็นมิติใหม่ในการทำ content เช่น การนำเรื่องการเมืองมา blend กับ entertainment content กลุ่ม lifestyle กลายเป็นคอนเทนต์ที่คนให้ความสนใจมากขึ้น
32. จากสถิติพบว่า YouTube วิดีโอที่มีความยาวสั้นกว่า 1 นาที เติบโตแบบก้าวกระโดด มีคนดูเพิ่มมากขึ้น แต่ long format consumption ก็ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เพราะเจตนาในการดู Video ทั้ง 2 แบบ แตกต่างกัน รวมถึงความรู้สึกในการดูก็แตกต่างกัน
33. 98% ของคนไทยบอกว่ามีแนวโน้มเชื่อใจ YouTuber มากกว่า platform อื่น ๆ ดังนั้น unmissable opportunity คือ การทำ partnership ads คือการที่แบรนด์ร่วมมือกับ creator ในการสร้าง collaboration โดยแบรนด์ช่วย boost organic video ของ creator ได้ รวมถึงการ drive media objectives
34. มีสถิติจากงานวิจัย 3 ใน 4 หรือ 74% ของผู้ใช้ออนไลน์ อยากสนทนากับธุรกิจ เหมือนเวลาที่พูดคุยกับเพื่อนหรือคนในบ้าน
35. การสนทนาทางธุรกิจจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นในช่วง shopping และทางสถิติพบว่าคนไทย 9 ใน 10 หรือเกือบ 87% ที่เลือกซื้อสินค้าในช่วงเทศกาล มีการติดต่อกับร้านค้าผ่าน Meta messaging apps
36. Meta มีการทำ Standard และ Policy เพื่อความปลอดภัย รวมถึงมี platform การเรียนรู้การใช้เครื่องมือของ Meta ผ่าน Meta expert ได้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย รวมถึงซีรีส์ข้อมูลการให้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือของ Meta
37. TikTok มี singular vision คือ “To inspire creativity and bring joy” เป็น Platform ที่จะช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ แรงบันดาลใจ และกล้าออกมาจาก comfort zone เพื่อพูดคุย แสดง expression ซึ่งจะเป็นการรวมกันระหว่าง commerce และ activity เข้าด้วยกัน
38. 1 ใน 3 ของผู้บริโภค หลังจากเห็น Content ของ Creator ทำให้รู้สึกอยากหาข้อมูลของ Brand เพิ่มมากขึ้น เกิด trigger และอาจเกิดการซื้อในภายหลัง
39. TikTok One เป็นเครื่องมือของ TikTok ที่จะช่วย Connect ระหว่าง Creators, Agency และ Brands โดยทำหน้าที่ในการ Matching กลุ่มให้ตรงกับความต้องการ
40. จาก Internal insight ของ Tiktok 46% ของ User เป็นกลุ่ม Consideration audience และกลุ่ม Consideration audience บน TikTok เป็นกลุ่ม Target segment ที่ค่อนข้าง Powerful มาก เพราะมีแนวโน้มที่จะกลับเข้ามาใน Platform และกดซื้อมากถึง 16 เท่าภายใน 30 วัน
41. ทาง Tiktok มี Market scope เป็น Tools ที่ช่วยแก้ Pain point เรื่องการวิเคราะห์ Audience insight ทำให้เข้าถึงข้อมูล 2 แบบ
- ทำความเข้าใจเชิงลึกได้ ว่ามีคนที่รับรู้เกี่ยวกับแบรนด์มีเท่าไหร่ กลุ่มที่มาจาก Awareness สู่ Consideration หรือกลุ่ม Consideration สู่ Conversion
- ดู Perception และ Sentiment ต่างๆ บน Platform เห็น Feedback ต่อ Brand ช่วยให้ develop strategy ในการทำการตลาดได้ดีขึ้น
42. ปัจจุบัน TikTok Thailand มี User จำนวนเกินกว่า 50 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เติบโตมาก และแน่นอนว่า แอปพลิเคชั่น TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ User 1 คนไม่ได้แค่ดูคอนเทนต์หรือร่วมจอยคอมมูนิตี้ แต่เขายังสามารถกดซื้อสินค้าได้ทั้งหมดครบจบในหนึ่งคลิก
43. พื้นที่คำตอบของ AI Search จะกลายเป็น Prime Real Estate เป็นพื้นที่ที่แบรนด์อยากถูกพูดถึงโดย AI มากขึ้น เวลาที่ลูกค้าถาม AI แล้ว AI แนะนำโปรดักส์ หรือแบรนด์ของเราให้กับลูกค้าในคำตอบนั้น ๆ
44. เทคนิค ‘SOURCE CODE’ โดย ANGA ถ้าทำได้ AI Search พูดถึงเราเยอะแน่นอน คือจัดโครงสร้างให้ AI เข้าใจเราได้ไวที่สุด, เก็บหมดทุกบทสนทนาที่จะเกิดขึ้นในเรื่องนั้น ๆ, มีครบในสิ่งที่คนจะพูดถึงเรา เป็นต้น
45. Basic SEO ทั่วไปอาจไม่พอ ถ้าอยากให้ AI พูดถึงเรามากกว่าคู่แข่ง
46. LINE OA ยังมีการเติบโต 41% และ impression เพิ่มขึ้น ในสองสามปีที่ผ่านมา
47. จุดแรกของการทำ CRM เริ่มโกยลูกค้าเข้ามาก่อน อย่าพึ่งวิเคราะห์ หลังจากนั้นเราจะเริ่มแยกออกเป็นกลุ่มๆมากขึ้นแล้วเราจะเริ่มเข้าใจมากขึ้น
48. Marketer เข้าสู่ personalized marketing แต่จาก B2B2C คือต้องการความร่วมมือกับ franchicer แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีมัน friendly user มากขึ้น ทำให้เห็น จุดเชื่อมต่อระหว่าง end user
49. ศรีจันทร์ เลือกพรีเซนเตอร์ที่สะท้อนคอนเซ็ปต์ เลือกแบมแบม จากการเป็น Global ศิลปินที่เป็นคนไทยที่ดังระดับโลก เป็นการเลือก Celebrity จากเป้าหมายของแบรนด์
50. การวัดผลเราต้องถามด้วยว่าเราต้องการอะไร ยอดเอนเกจ หรือต้องการอะไร และทุกอย่างต้องปรับไปตามลูกค้า และตลาดด้วย
51. มัดรวม Checklist ต้องทำให้ใช่ ในการใช้ Celebrity Marketing
- Right Purpose
- Right People
- Right Play
- Right Proof
52. ศรีจันทร์ เริ่มต้นด้วยการวางแผนว่า “ทำไม” Communicate with Why
- What แบรนด์จะทำอะไร
- How สินค้าของเรามีความพิเศษยังไง
- Why (คนส่วนใหญ่ไม่นึกถึงและทำให้แบรนด์ไม่ได้แตกต่าง) ต้องชัด!
53. หลายองค์กร ติดปัญหาเรื่อง Scale ว่าจะทำยังให้ได้ AI ไปอยู่ในทุกช่วงของพนักงาน ทำยังไงให้ใช้ AI เพื่อให้เกิดผล ซึ่งอาจมีคนใช้จริงแค่ 4% เท่านั้น
54. วันนี้การที่คิดน้อยและทำเยอะ เป็นห่วงที่สุดคือการเกิดอุปทานหมู่ เหมือนทุกวันนี้ทุกคนต้องการไปเติบโตตามสิ่งที่มาแรง แต่สิ่งที่ลืมไป คือการลืมแบรนด์ ยังไงทุกวันนี้ผู้บริโภคก็ยังให้ความจงรักภักดีกับแบรนด์ ด้วยโลกที่เล็กลงหรือ Digital มันสะดวกมากขึ้น คนรุ่นใหม่รู้จักแบรนด์มากกว่า Genration เก่า เพราะโอกาสเข้าถึงเยอะ เมื่อรู้จักแบรนด์เยอะความสนใจก็กระจัดกระจาย แต่ไม่ได้หมายความว่าความจงรักภักดีต่อแบรนด์จะหายไป ถ้ามัวแต่จะ Personalization สุดท้ายแล้วหาตัวตนของแบรนด์ไม่เจอ คนก็หาย หรือไม่ก็มีคู่แข่งใหม่เข้ามา แบรนด์ต้องมีตัวตนที่ชัดเจน สร้าง Present ของแบรนด์ให้ชัด แล้วมันจะสร้าง Trust และ Connection กับผู้บริโภค เพราะ Brand Love ก็ยังเป็นผลลัพธ์ที่ทุกคนอยากเป็น
55. มนุษย์ ยังมีความจำเป็นอยู่ แต่เป็นมนุษย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ ไม่ใช่ว่าเรามี AI แล้ว เราไม่จำเป็นต้องเก่งในเรื่องนั้น เรื่องบางเรื่อง เราต้องใส่ประสบการณ์เข้าไป หน้าที่ของเรา คือต้องสร้าง AI Innovation ขายคนอื่น
56. จุดที่ระบบอัตโนมัติทำได้ดีกว่า (Where Automation Excels)
- Routine & Speed Processing: ทำซ้ำ ทำเร็ว ทำยากได้ง่าย
- Personalization at Scale: ทำรายบุคคลพร้อมกันจำนวนมาก
- Real-time Optimization: ตอบสนองและปรับแต่งเรียลไทม์
57. อาวุธลับของ Creative Automation อยู่ที่การออกแบบเทคโนโลยี ที่ช่วยเสริมสร้างการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ และเปลี่ยนช่วงเวลาธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายในชีวิตประจำวัน
58. Automation และ Creativity 2 คำนี้ เป็น 2 คำที่ สำคัญมากยิ่ง Technology ก้าวล้ำไปมากเท่าไหร่ สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือ ความคิดสร้างสรรค์
59. ถ้าเราเริ่มไลฟ์ เริ่มสร้างตัวตน (Personal Branding) เราต้องทำอะไรให้แตกต่างจากคนอื่น เปลี่ยนจุดอ่อนของเขา ให้กลายเป็นจุดแข็งของเรา
60. คอนเทนต์แนว Storytelling นี้จะช่วยสร้างความภักดี (Loyalty) ให้กับลูกค้าได้ค่อนข้างมาก
โดยแบรนด์จะต้องมีการสร้างเรื่องราวให้กับตัวละคร เพื่อดึงดูดความสนใจและความอินกับเรื่องราวของแบรนด์
61. เวลาเลือกคอนเทนต์ ต้องถูกกระตุก ทุก 2-3 วิ ดูนาน ดูจบ รักเรา และจำเราได้ การจะทำให้คนดูจนจบได้ ต้องกระตุกโดปามีน ทุก 2-3 วินาที เพื่อให้คนอยากติดตาม เราอยู่ในยุคที่เสพติดโดปามีน เราขาดโดปามีนไม่ได้
62. ไลฟ์ยังไง ก็ได้ให้น่าติดตาม วัดกันที่คุณภาพ ไม่ได้วัดกันที่ปริมาณ เราเองก็ต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ในเวลา 1 ชม. ในการไลฟ์ เราทำอะไรให้เกิดขึ้นได้บ้าง เราเพิ่มเวลาไม่ได้ แต่เราเพิ่มคุณภาพของอาการไลฟ์สดได้ แต่ AI ยังมาแทนเราไม่ได้
63. เฟรมเวิร์กสำหรับทำคอนเทนต์ให้คนรู้จัก ก่อนขึ้น Live สด ของ LA GLACE ประกอบด้วยคอนเทนต์ 5 มิติ ได้แก่
- Awareness (เห็นบ่อย) เน้นการทำให้ลูกค้าเห็นแบรนด์บ่อยครั้ง
- Image (ภาพลักษณ์ที่แตกต่าง) เน้นการสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง
- Quality (คุณภาพที่แตกต่าง) เน้นการนำเสนอคุณภาพของสินค้าในรูปแบบที่แตกต่าง
- Identity (ตัวตนที่แตกต่าง) เน้นการสร้างตัวตนที่ชัดเจนและแตกต่างของแบรนด์
- Storytelling (สร้างศรัทธา) เน้นการสร้างเรื่องราวเบื้องหลังเพื่อสร้างความศรัทธาและความผูกพัน
64. อีกกลยุทธ์สำคัญคือการติดตามทุกการเคลื่อนไหวของตลาด LA GLACE แท็กคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์เครื่องสำอางและสินค้าบิวตี้กว่า 6,000 คำ เพื่อเก็บ Insight ทั้งคำชม คำด่า และกระแสใหม่ ๆ อยู่เสมอ นั่นทำให้แบรนด์สามารถปรับตัวได้แบบเรียลไทม์ และอยู่ในทุกจังหวะที่ผู้บริโภคสนใจ
65. มี Research แห่งหนึ่งระบุว่า นักการตลาดเสียเวลาเกือบ 40% ในการประกอบร่าง Data ซึ่งไม่ว่าจะดึง Report หรือแม้กระทั่งคุยกับทีม Dev เพื่อดึง Data
66. การจะหา Customer Insight ในมุมของแบรนด์ Journal คือ การลดความรู้สึก ลดความเชื่อของตัวเอง ในวันที่แบรนด์เราใหญ่ขึ้นมันอีกเรื่อง ซึ่งต้องปรับเปลี่ยนวิธีการในวันที่เราใหญ่ขึ้น ด้วยการใช้ Data ที่แม่นยำขึ้น เมื่อในวันที่เรามีระบบ เราจะเห็นข้อมูลที่ชัดเจนของลูกค้า ได้ตรงจุด ตรงเป้า ได้มากกว่าที่เรารู้สึกไปเอง
67. ในมุมของ Plantae การจะทำให้คนหลงรัก ต้องทำให้ได้ และทำให้ไว ในวันนี้ตลาดมัน Red Ocean มาก การฟังให้มากและทำให้ไว สำคัญมากที่สุด ยิ่งคุณมี CRM ที่ใช่ มันจะช่วยตอบโจทย์ทั้งการออกโปรดักส์ และการทำแคมเปญที่ทรงพลังได้ อย่างล่าสุด Plantae มีการทำ Colabolation มากขึ้น อย่างล่าสุดก็ไปจอยกับ Plantae x Souri อร่อยให้สุดก็ไม่หลุดแคล และไม่หยุดแค่นั้นยังมีการทำ Surprise Box รีวิวรสชาติจากลูกค้ากลุ่มแรกที่ได้เซอร์ไพรส์ ซึ่งเป็นการสร้าง Loyalty ที่แน่นขึ้นให้กับแบรนด์และลูกค้า
68. ในมุมของ PRIMO เองมองเห็นว่าทุกบริษัทที่มาใช้ CRM เขาอยากให้ Data แต่ละบริษัทแม่นยำขึ้น การมอนิเตอร์และต่อยอดร่วมกับลูกค้า จึงทำให้ PRIMO เพิ่มประสิทธิภาพระบบ และตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น ดังนั้น KPI ที่สำคัญคือเราต้อง Retention ลูกค้าได้ ซึ่ง PRIMO ทำได้ 100% ซึ่งเราดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด และการันตีอย่างชัดเจน
69. หลักการง่าย ๆ ของ Journal คือ เราต้องใช้ CRM ให้มากที่สุด ถึงจะสำเร็จ โดยตั้งต้นจากความอยากได้อะไร และใช้เรื่อย ๆ ใช้สม่ำเสมอ เพื่อให้คุ้นชินกับการใช้ Data โดยห้ามทำแบบเดิม
70. การเอา CRM Tools มาใช้งาน ทำให้เราเห็นว่า ลูกค้าของเราอยากได้อะไร เราต้องฟังลูกค้า ถ้าเราฟังเยอะ รู้ว่าเขาต้องการอะไร เราจะเสิร์ฟ ความต้องการของลูกค้าได้ และต้องทำให้ไวด้วย เพราะ ทุกวันนี้ มีคู่แข่งในตลาดค่อนข้างเยอะ
71. Don’t Trust Marketing อย่าเชื่อการตลาด เราไม่พูด ถ้าเราไม่ได้ทำ สิ่งที่แบรนด์ต้องทำ คือเปิดเผยตัวตน ถ้าเราจริงใจ และมั่นคงในสิ่งนั้น คนก็จะเชื่อเรา
72. คนสนใจอะไรสั้นลง และโลภมาก อยากได้อะไรเยอะ ๆ ในเวลาอันสั้น ละครคุณธรรมใน TikTok หรือในโลกอย่างฝั่งตะวันตกก็มีเรียกว่า micro drama คือ drama box, COL ของจีน ค่ายของจีนก็มีเหมือนกัน ถ้าคนไปเสพ Entertainment ตรงนั้น เราต้องเริ่มปรับตัวแล้ว ถ้าแพลตฟอร์มแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย แล้วมันเติบโตขึ้น เราจะยังไงต่อ
73. Community Commerce ที่มาจาก Commerce + Community คือการที่กลุ่มแคบ ๆ เข้าไปในความสนใจเดียวกัน เช่น TikTok, Facebook, LINE OpenChat หรือการจัดกิจกรรมข้างนอกของคนกลุ่มเดียวกัน ที่ไปและซื้อของขายของโดยมาจากอิทธิพลตรง ที่คนไว้ใจกันสูง แล้วก็มีการซื้อขายเกิดขึ้นมาก แบรนด์ก็อาจจะต้องสนใจตรงนั้น เพราะมันก็จะเริ่มเป็นพฤติกรรมใหม่ ๆ ที่นำไปสู่การซื้อขายในอีกรูปแบบนึง ไม่ใช่ Social Commerce แต่เป็น Community Commerce
74. ทุกครั้งที่ติดกระดุมต้องเริ่มจากเม็ดแรกเสมอ ตอนนี้มันเหมือนเราคิดน้อยแต่ทำเยอะ เราต้องตั้งคำถามที่ถูกต้อง ทุกคนอยากทำ MarTech, Personalize Marketing แต่ไม่มีใครตั้งคำถามว่าสินค้าเราต้องการ Personalization แบบไหน เพื่อให้เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาได้รับพิเศษต่างจากคนอื่นขนาดไหน เราเริ่มต้นจากกระดุมเม็ด 3 เม็ด 4 เราตั้งคำถามไม่ถูก สิ่งที่ควรตั้งคำถามแน่ ๆ คือ ธุรกิจเราต้องการ Personalization หรือเปล่า
75. สิ่งหนึ่งที่จะเห็นเทรนด์ที่เปลี่ยนไปคือ มันจะมีทั้ง Globalization และ Deglobalization มันมีทุกชาติทุกภาษาที่มี Content ที่คล้ายกันคือเรื่องของ Globalization แต่เรื่อง Deglobalization มันมากับกระแสในเรื่องของการโดนกีดกันทางการค้า ฉะนั้นนักการตลาดควรเข้าใจความเป็น Globalization และ Deglobalization
76. นักการตลาดหรือนักโฆษณาที่สำคัญคือการสังเกต เพราะโฆษณาหรือการตลาด สิ่งที่สำคัญคือเราต้องกล้าที่จะสังเกต ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องสังเกต พอสังเกตแล้วก็ต้องตีความ และสุดท้ายคือ แบรนด์และจุดยืนเป็นเรื่องสำคัญแต่บางทีต้องเปิดรับและกล้าจะเปลี่ยนแปลง ถ้ายึดมั่นอย่างเดียวก็อาจไม่ได้ทั้งหมด แต่ถ้าเปลี่ยนตลอดเวลาก็ทำให้จุดยืนของเราเปลี่ยน การมีกึ๋นที่มองว่าเราควรเปลี่ยนอะไรไปในทางไหนในแต่ละครั้ง อย่าทำให้เกิดข่าวร้ายกับแบรนด์ของเรา หรือมีเรื่องไม่ดีกับแบรนด์ Aware ทุกการกระทำ อย่าเป็นแบรนด์ที่ไม่มีจริยธรรมกับผู้บริโภค
77. หัดทำเรื่องใหญ่เกินตัว อย่างคนนอกจากพลังกายแล้ว ยังมีพลังจิตใจ ที่มันใหญ่กว่ามดมาก กฎของการทำงาน 7 อย่าง
- กฎของการก้าวข้ามข้างหน้า
- ไม่มีแผนที่ Perfect
- ปัญหาไม่ใช่เส้นตรง
- ไม่มีใครรู้ไปทุกเรื่อง
- อย่ามัวแต่เปรียบเทียบ
- ทำเรื่องจำเป็นให้เป็นที่ 1
- อย่ารอให้น้ำมันหมด
78. เวลาเราทำเรื่องใหม่ๆ วันแรกที่เราทำ มักจะไม่ไหว แต่จากไม่ไหว พอเราเริ่มวิ่ง เราจะรู้สึกว่า สิ่งที่เราทำไปเมื่อวาน มันทำให้เราแข็งแกร่งไปทีละนิด
79. ปัญหาไม่ได้มาทีละเรื่อง ไม่ได้มาเป็นขั้นเป็นตอนขนาดนั้น แต่ปัญหามักมาพร้อมกันหลายๆ เรื่อง
เวลาทำงานจริงๆ แล้วไม่มีใครรู้ทุกเรื่อง ถ้าเรารู้หมด มันไม่ใช่มนุษย์ แม้กระทั่งเทคโนโลยีเอง ก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่อง อย่ามัวแต่เปรียบเทียบ อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นตลอดเวลา
80. อย่ารอให้รถน้ำมันหมด เราต้องเติมพลังใจให้ตนเอง ออกแบบการทำงานให้เหมาะและไม่ควรอยู่กับแพทเทิร์นซ้ำ ๆ
81. ลูกค้าไม่ได้ซื้อสินค้า ลูกค้าซื้อสิ่งที่ "เกี่ยวข้อง" กับชีวิตและ "สร้างสรรค์" เรียกความสนใจได้
82. Product ต้องทำโปรดักส์ที่โลกต้องการ ถ้าทำ Product ที่โลกไม่ต้องการจะเหนื่อย
83. ทำอย่างไรให้ Product มี innovation แบบนี้ สิ่งที่จะสร้าง Inspiration และเปลี่ยนแปลงตลาดได้คือ insight ของลูกค้า ที่มาจาก 2 อย่างนี้
- Pain killer แก้ปัญหาใหม่ ๆ ให้ลูกค้า
- Add new painpoint ทำให้ลูกค้าบรรลุความฝันที่เขาไม่เคยได้ หรือ vitamin ให้กับลูกค้า
ต่อให้เทคโนโลยีเปลี่ยนไปขนาดไหน แต่สิ่งที่จะไม่เปลี่ยนคือการแข่งกัน เข้าใจ insight ลูกค้า
84. อยากให้ลูกค้าจำไม่ใช่ทำอะไรแค่ Standard
- แปลกใหม่ในวงการ และ พัฒนาตลอดเวลา เช่น ไฮตี้เหลา ที่มี Snack Bar
- เกินกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง เช่น การมี Assistant ตอนทำเลสิค โดยที่ลูกค้าไม่คิดว่าจะมีคนดูแลตอนทำเลสิค
- ใส่ความรู้สึกเข้าไป การมีเทคโนโลยีขาดความเป็นมนุษย์ ต่อให้ใช้เทคโนโลยียังไง Human ต้องการ Human
85. วิธีการสร้าง Wow Experience
- Understand เข้าใจ Target มีความฝันคืออะไร ความต้องการอยู่ตรงไหน
- Design การวางประสบการณ์คือการวางแผนไม่ใช่โชค
- Evaluate การประเมิน อย่างธนาคารที่จะมีการประเมินเมื่อไปใช้บริการ
- Improve ปรับปรุงพัฒนา
86. คอนเทนต์ครีเอเตอร์ยังคงมีความสำคัญสูง เพราะ “เสน่ห์ของคน” ไม่สามารถแทนที่ด้วยเทคโนโลยีได้ ครีเอเตอร์คือ Hard Community ของแบรนด์ ที่สามารถสร้างความเชื่อมโยงและทำให้ Community แข็งแรงขึ้นได้ กลยุทธ์คือดึงครีเอเตอร์ที่มีเสน่ห์ มาร่วมสร้างแบรนด์เพื่อให้แฟนด้อมช่วยบอกต่อ พร้อมใช้ Data Analytics, Creator Network และ Brand Partner เพื่อเสริมพลังให้ครบวงจร
87. พฤติกรรมคนไทยใช้เวลาอยู่บนโซเชียลมีเดียมาก การทำแคมเปญต้องวางแผน “ตั้งแต่เริ่มต้น” ไม่ใช่แค่มีโปรดักต์แล้วค่อยหาคนโปรโมททีหลัง แต่ต้องคิดตั้งแต่แรกว่าจะให้ใครมาเป็นตัวช่วยโปรโมท เพื่อให้สื่อสารได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ เน้นการ Engagement + Clear Communication ให้เข้าใจทั้งเรื่องแบรนด์และยอดขาย เพราะ Marketing of the future = สื่อสารมากกว่าพูดขาย
88. สิ่งที่จะหายไปในอนาคตคือ การจ้างครีเอเตอร์เพื่อผลิตคอนเทนต์อย่างเดียว แต่สิ่งที่จะมาคือ การดึงครีเอเตอร์ที่มีเสน่ห์ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์จริง ๆ มีบทบาทในการเล่าเรื่องและสร้าง Network ให้กับแบรนด์ โดยใช้ข้อมูลของครีเอเตอร์และแบรนด์ เพื่อก่อให้เกิดคอมมูนิตี้ที่แข็งแรงจนกลายเป็น Branddom ทำให้ครีเอเตอร์รักแบรนด์จริง ๆ และอยากบอกต่อด้วย
89. 3 เรื่องที่เราต้องทำ เพื่อให้ลูกค้าเป็นคนเลือกเอง ถ้าเราทำได้ดี Customer Experience ก็จะเพิ่มขึ้น เราต้องมี data มาดูว่าเรื่องไหนลูกค้าไม่ต้องการไม่ต้องทำ อะไรที่ลูกค้าไม่ต้องการก็ทำเกิน ให้มากกว่าที่ลูกค้าอยากได้
- Manage ความคาดหวังของลูกค้าให้ได้
- ทำให้ง่าย ในการใช้บริการ
- สร้างความผูกพันให้เกิดกับลูกค้าจริงๆ
90. หลายครั้งเราพยายามทำสิ่งที่ซับซ้อนเกินไป เช่น การออกฟีเจอร์ใหม่ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริง การ ปรับปรุงสิ่งเล็ก ๆ อย่างการจัดการปุ่มให้ลูกค้าใช้งานได้ง่ายขึ้น กลับสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่า
91. ความท้าทายในวันนี้ของ Chat Commerce ผ่าน Facebook, LINE, TikTok, Instagram (SOCIAL / CHAT COMMERCE) คือ ค่าโฆษณาบนแพลตฟอร์มสูงขึ้น บางแพลตฟอร์มมีการหัก Gross Profit, การแข่งขันด้านราคาและบริการรุนแรง ไม่ใช่ว่าถูกสุดจะชนะ, ความกดดันเรื่องการตอบกลับเร็ว ท่ามกลางข้อความที่เข้ามาจำนวนมาก
92. สิ่งสำคัญคือการทำให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำ ดังนั้น Retarget ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด ถ้าจะเข้าสู่โลก Chat Commerce
93. วิธีการใช้ Line Automation ให้ Success คือ กำหนดเป้าหมายชัดเจน ก่อนทำ → ต้องรู้ว่าอยากได้อะไรและจะไปถึงยังไง และเปรียบเทียบเหมือนใช้ Google Maps → ลูกค้ารู้ทาง แต่ต้องมีเครื่องมือช่วยนำทาง
94. ตัวอย่างใน LINE อย่างแบรนด์ A ราเมน หรือ ราเมนข้อสอบ มีโจทย์ที่อยากให้ลูกค้ากลับมาทานซ้ำ ร้านให้ลูกค้าสแกนรับคูปอง มีการเพิ่ม Tag ใน User Profile ถ้าคูปองยังไม่ถูกใช้จะมีการ remind user ด้วยการส่งการแจ้งเตือนไปหาลูกค้า มีโอกาส โดยจะทำ 2 ครั้ง หากไม่ซื้อจะ Pause เพื่อไม่ให้รบกวนลูกค้า เมื่อลูกค้ากลับมาก็จะเข้า Loop นี้ใหม่ ปรากฎว่า คูปอง Redeem เพิ่มขึ้น 20% มี Block Rate ที่ 4.45%
95. 5 คำถามที่ต้องถามเกี่ยวกับธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจเติบโต
- ทำไมเขาเลือกเรา ลูกค้า เลือกเราเพราะอะไร
- ทำไมเขาไม่เลือกเรา
- ทำไมเขาถึงยังเลือกเรา ทำไมลูกค้าเลือกซื้อเราซ้ำๆ
- ทำไมเขาถึงหยุดเลือกเรา
- ทำไมเขาถึงแนะนำเรา
96. ก่อนหาลูกค้าใหม่ จงรักษาลูกค้าปัจจุบันให้ดีที่สุด ดังนั้นการตลาดที่ดีที่สุดคือ การให้คนอื่นอิจฉาลูกค้าเราให้ได้
97. 6 คำถาม = ใครคือลูกค้าเรา,เค้าเป็นลูกค้าเราได้ยังไง,เค้าเป็นลูกค้าเรานานแค่ไหน,ทำไมเค้ายังเป็นลูกค้าเรา,เค้าเลิกเป็นลูกค้าเราเมื่อไหร่,ทำไมเค้าถึงไม่เป็นลูกค้าเรา
98. วิธีการทำ Survey = คำถามห้ามยาวไป ห้ามตอบส่งๆ, ห้ามถามความรู้สึกเป็นตัวเลข ตัวเลขแต่คนไม่เท่ากัน
99. 9A Customer Journey Framework เส้นทางของลูกค้าไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็นวงจรที่วนกลับไปได้เสมอ
- Awareness: เขารู้จักเราได้อย่างไร (Reach, Impression, View ฯลฯ)
- Attention: สนใจอะไรเป็นพิเศษ
- Affirmation: มั่นใจที่จะเลือกเรา
- Action: การตัดสินใจซื้อ
- Activation: ซื้อแล้วได้ใช้จริงหรือไม่
- Affection: ประสบการณ์ที่ชอบมาก ๆ
- Advocacy: การบอกต่อ แนะนำเพื่อน
- ... และอีกบางจุดที่วนกลับ Awareness ได้ เช่น ลูกค้าประทับใจมากจนโพสต์ลงโซเชียล
100. ลูกค้าควรแฮปปี้มากจนชวนบอกเพื่อนให้มาเป็นลูกค้าเราต่อให้เศรษฐกิจแย่ก็อยู่ได้
อยากติดตามทุกเซสชันแบบเต็ม ๆ ไม่มีสรุป ไม่มี Cut
สามารถดูย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. 68 - 20 มี.ค. 69
ที่ https://creativetalkonline.com/

สำหรับคนที่ไม่เคยมีบัตรมาก่อน และอยากมาอัปพลังความรู้การตลาด
บัตรราคา 990.- (Workshop ไม่สามารถชมย้อนหลังได้)
ซื้อบัตรได้ที่ https://www.zipeventapp.com/e/MKTCON2025

อวสานมัด 100 สำหรับปี 2025 อยากชวนทุกคนมารอติดตามการจดสรุปในรูปแบบอื่น ๆ และคอนเทนต์รูปแบบใหม่ ๆ ของ CREATIVE TALK ได้เร็ว ๆ นี้