เคยทำงานแล้วมีความรู้สึกเหมือนชีวิตติดหล่มชนเพดานกันบ้างไหม? มันเป็นความรู้สึกที่เราทำงานตามปกติ แต่กลับรู้สึกขาดคุณค่าในตัวเองไปแม้จะทำงานได้ดีก็ตาม ถ้ารู้สึกว่าตัวเองกำลังประสบปัญหานี้ ขอให้รู้ว่าเราไม่ได้เผชิญอยู่คนเดียว เพราะมีคนอีกมากมายที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่
มีงานวิจัยที่ได้นำพนักงานที่ทำงานได้ดี มาศึกษาถึงปัจจัยที่ทำให้ชีวิตรู้สึกถูกฉุดรั้ง พวกเขาพบว่าจากร้อยคน จะมีถึง 26 คนที่มีความเหมือนชีวิตติดหล่มชนเพดาน ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ก็เป็นคนที่ทำงานได้ดีนะ แต่กลับขาด Self Awareness (การตระหนักรู้ในตนเอง) ไป
การขาด Self Awareness เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เรา ไม่สามารถเติบโตในที่ทำงานและเป็นต้นตอของ 3 นิสัยอันร้ายแรงที่เป็นตัวฉุดรั้งเราไม่ให้ก้าวไปไหน
1. นิสัยรับบทผู้เคราะห์ร้าย
งานนี้ฉันทำดีแล้วนะ แต่ความผิดพลาดนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง? ใช่สิ คนอย่างฉันทำอะไรก็ผิดหมดเลย
คนที่รับบทผู้เคราะห์ร้าย มักจะเป็นคนที่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่เคยอยากให้เกิดความผิดพลาดขึ้นในงาน แต่เมื่อเกิดปัจจัยที่ทำให้งานผิดพลาด พวกเขากลับโทษทุกสิ่งรอบตัวก่อน นั่นทำให้ในระยะยาว จะไม่มีใครที่อยากทำงานกับคนนิสัยแบบนี้
ถ้ารู้สึกว่าเรากำลังรับบทผู้เคราะห์ร้ายอยู่ ให้ลองถามตัวเองว่าช่วงนี้ เราบ่นคำพูดที่ไม่ดีบ่อยเกินไปไหม จากนั้นก็พยายามตามความรู้สึกให้ทัน ทบทวนกับตัวเอง บ่นให้ช้าลง ต่อว่าผู้คนรอบข้างให้น้อยลง แม้มันจะเป็นสิ่งที่ยาก เพราะมันกลายเป็นนิสัยประจำตัวไปแล้ว แต่หากเราทำได้ สิ่งนี้จะช่วยให้เรากลับมาเป็นคนที่น่ารักของคนรอบข้างอีกครั้ง
2. นิสัยเสพติดความยุ่งเหยิง
ถ้าเราชอบใจเมื่อเห็นชีวิตตัวเองมีตารางประชุมอยู่เต็มไปหมด นั่นแสดงว่าความคิดของเรากำลังเข้าขั้นวิกฤติเพราะชีวิตโฟกัสกับงานตรงหน้ามากเกินไป จนลืมให้เวลากับตัวเอง ซึ่งการที่เราโฟกัสกับงานตรงหน้ามากเกินไป ทำให้ชีวิตของเราขาดการประเมินตัวเองและวิเคราะห์สิ่งรอบข้าง จนไม่ได้พัฒนาทักษะด้านอื่นเลย
วิธีแก้ไขนิสัยนี้คือ เราต้องวางปฏิทินชีวิตเลยว่า ในแต่ละสัปดาห์จะทำอะไรหรือเคลียร์อะไรบ้าง เพราะการได้เวลาชีวิตกลับคืนมา จะทำให้เราสามารถพัฒนาทักษะด้านอื่น เพื่อให้ชีวิตก้าวไปข้างหน้าต่อได้
3. นิสัยไม่กล้าออกจาก Comfort Zone
แน่นอนว่าเมื่อทำงานไปเรื่อย ๆ เราทุกคนจะรู้วิธีที่ทำให้งานเสร็จอย่างง่ายดาย จนบางครั้งก็ติดกับดักความสำเร็จโดยไม่รู้ตัว นั่นทำให้ชีวิตเราอยู่กับลูปเดิม ๆ จนไม่กล้าที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ
ถ้าอยากออกจาก Comfort Zone เราอาจจะต้องคุยกับผู้มีประสบการณ์ที่ช่วยให้เรากล้าทำสิ่งใหม่ ๆ หรือหางานสัมมนาดี ๆ ให้ตัวเองฟัง การออกจาก Comfort Zone ไม่ควรจะลำบากถึงขั้นต้องเปลี่ยนงาน แต่เราสามารถค้นหาเทคนิคใหม่ ๆ มาช่วยจัดงานของเราได้
นอกจากนั้นอีกสิ่งที่เราควรเรียนรู้อยู่ตลอดก็คือ เราควรรู้จักยอมรับเรื่องความผิดพลาด เพราะอย่างไรก็ตามความผิดพลาดจะเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ รู้จักปล่อยวาง อย่าไปคิดมากเพื่อโทษอะไรให้วุ่นวาย ลองคิดอีกมุมว่านี่คือโอกาสที่จะทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ จะทำให้เราจัดการได้ง่ายขึ้นเยอะ
3 อย่างนี้คือนิสัยอันร้ายแรงที่เป็นตัวฉุดรั้งเราไว้ ซึ่งเชื่อเลยว่าคงไม่มีใครที่อยากให้ชีวิตตัวเองติดหล่มอยู่กับที่ไม่ไปไหน แต่บางครั้งนิสัยร้ายแรง อาจแฝงมากับการทำงานโดยไม่รู้ตัว เราควรสำรวจตัวเองอยู่เสมอ ว่าตนเองมีนิสัยนี้หรือไม่ เพราะมันจะเป็นบ่อเกิดแห่งภัยที่ฉุดรั้งชีวิตเราไม่ให้ก้าวไปข้างหน้าเลยล่ะ