แต่นอกเหนือจากเรื่องกีฬาแล้ว Nike ยังเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ ที่ทำการตลาดมัดใจลูกค้าได้อยู่หมัดเลยล่ะ Nike มีดีอะไร ทำไมเขาถึงเชื่อมโยงลูกค้ายาวนานหลายสิบปี บทความนี้จะพาไปเรียนรู้ 5 บทเรียนการตลาดของ Nike กัน
1. เตรียมพร้อมสำหรับฟีดแบ็ก
Nike เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียได้อย่างชาญฉลาด พวกเขาสร้างคอนเทนต์ที่มีส่วนร่วมกับแฟน ๆ ด้วยโพสต์ที่สนุก และกระตุ้นสังคมอยู่เสมอ
นอกจากนั้นผู้บริโภคยังสามารถติดต่อ Nike ได้ด้วยการแท็กบัญชี แล้วคอมเมนต์ได้เลย โดย Nike จะตอบกลับอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นคอมเมนต์ในแง่บวกหรือลบก็ตาม โดยหากมีโพสต์ที่เกี่ยวกับข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ไม่ดี เจ้าหน้าที่ของ Nike ก็จะตอบกลับด้วยคำขอโทษ และเสนอแนวทางแก้ปัญหา ซึ่งการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียนี่แหละ ที่ทำให้ Nike สร้างคอมมูนิตี้ที่แกร่งขึ้นมาได้
2. ไม่กลัวประเด็นสุ่มเสี่ยง
Nike เป็นที่รู้จักในเรื่องการสนับสนุนประเด็นทางสังคม โดย Nike วางตัวเองให้เป็นมากกว่าแค่แบรนด์กีฬามานานแล้ว พวกเขาไม่กลัวที่จะแสดงออกในประเด็นทางสังคม ตัวอย่าง ในปี 1993 Nike ได้เปิดตัวโครงการ Reuse-A-Shoe ซึ่งเป็นโครงการที่รวบรวมรองเท้ากีฬาเก่า เพื่อนำมาใช้ใหม่ในสนามบาสเกตบอล ลู่วิ่ง และพื้นผิวสนามเด็กเล่น
นอกจากนั้นหนึ่งในแคมเปญล่าสุดที่โดดเด่นของ Nike ก็คือการสนับสนุน Black Lives Matter ที่ใคร ๆ ต่างก็เห็นกัน และด้วยการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อประเด็นทางสังคม Nike จึงได้สร้างฐานลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ของพวกเขามากขึ้น
3. ขยันสร้างโปรเจกต์กับคนดัง
Nike ประสบความสำเร็จในการ Collab กับเหล่าคนดัง เพื่อสร้างแคมเปญการตลาดที่ทรงพลังขึ้นมา ซึ่งคนดังที่มีชื่อเสียง อาทิ Kanye West ก็ได้ร่วมมือกับ Nike เพื่อสร้างไลน์รองเท้าที่เรียกว่า Nike Air Yeezy Collaboration โดยรองเท้าดังกล่าวได้รับความนิยมในทันทีตั้งแต่เปิดขาย
แม้ว่าเราจะไม่น่าจะได้ร่วมงานกับ Kanye West แต่ก็มีวิธีที่เราสามารถเป็นพันธมิตรกับผู้คน เพื่อยกระดับแบรนด์ของเราได้ ด้วยการใช้อินฟลูเอนเซอร์มาโปรโมทสินค้า เพื่อรับรองผลิตภัณฑ์ของที่เราจะปล่อยออกมานั่นเองล่ะ
ความร่วมมือเหล่านี้ ไม่เพียงแต่เพิ่มการเข้าถึงของแบรนด์ แต่ยังสามารถใช้ประโยชน์จากอิทธิพลของคนดังได้ด้วย ซึ่ง Nike ก็ได้ขยายการเข้าถึงผู้คนด้วยการร่วมงานกับคนดังมากมาย
4. ซ่อนสินค้าไว้ภายใต้เรื่องราว
Nike เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ใช้ ‘เรื่องราว’ มาทำการตลาดได้ดีมาก พวกเขาไม่เพียงแต่ขายสินค้าอย่างเดียว แต่ผลิตภัณฑ์จะต้องมีเรื่องราวเบื้องหลังที่กระตุ้นอารมณ์ผู้ชมได้ ด้วย
เมื่อดูที่อินสตาแกรมของ Nike เอง โพสต์ที่โดดเด่นมักจะเป็นโพสต์ที่นำนักกีฬามาโปรโมท และบอกเล่าเรื่องราวของเขา แน่นอนว่านักกีฬาเหล่านั้นก็สวมใส่ผลิตภัณฑ์ Nike นั่นแหละ แต่ตัวโฆษณาไม่ได้เป็นเพียงภาพโคลสอัพของรองเท้าหรือเครื่องแต่งกายอย่างเดียว เพราะโฆษณายังเล่าถึงวีรกรรมความพยายามว่านักกีฬาเหล่านี้ ต้องฝ่าฟันอะไร และก้าวมาถึงจุดที่พวกยืนอยู่ได้ยังไง
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า Nike มักจะเล่นกับความผูกพันของผู้บริโภคได้เก่ง และทำให้พวกเขานึกถึงเรื่องราวเมื่อเห็นผลิตภัณฑ์ของ Nike ในร้านค้า โดยโฆษณาของ Nike มักจะนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจของนักกีฬาที่เอาชนะความท้าทาย ซึ่งเชื่อมโยงกับอารมณ์ผู้ชมเป็นอย่างมาก
5. สร้างผลิตภัณฑ์ที่รักษ์โลก
Nike ตระหนักถึงประเด็นสำคัญของสิ่งแวดล้อม พวกเขาพยายามอย่างมาก ในการนำแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในธุรกิจของตน โดยในปี 2009 นั้น Nike ได้ช่วยก่อตั้ง SAC (Sustainable Apparel Coalition) เพื่อทำงานร่วมกับผู้ค้าปลีก และซัพพลายเออร์ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของ Nike โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาพวกเขาได้เปลี่ยนมาใช้วัสดุที่เป็นมิตร กับใช้ยาฆ่าแมลงน้อยลง
เมื่อเวลาผ่านไป ผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงปัญหาความยั่งยืนมากขึ้น และเลือกอุดหนุนแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าผลิตภัณฑ์ที่รักษ์โลกนั้นยังคงขายได้ ดังนั้นแล้วด้วยการยอมรับความยั่งยืน Nike ไม่เพียงดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อโลกอีกด้วย
การนำบทเรียนด้านการตลาดจาก Nike มาใช้ ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถเพิ่มการเข้าถึงกับลูกค้า และสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนต่อสังคม สิ่งเหล่านี้ช่วยให้แบรนด์เชื่อมต่อกับลูกค้าได้มากขึ้น สร้างฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น เช่นเดียวกับธุรกิจของ Nike ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจผ่านกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ
ที่มา