Beam เปิดตัว Bolt+ อุปกรณ์รับชำระเงินสุดล้ำ ที่ช่วยให้ปิดการขายได้ทุกที่ ติดสปีดธุรกิจสู่สังคมไร้เงินสดและเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ

ถอดบทเรียนธุรกิจ 4 แบรนด์ยุคใหม่ชั้นนำ พร้อมกับเปิดตัวครั้งแรกในไทย!

Last updated on ก.ย. 30, 2025

Posted on ก.ย. 30, 2025

ทำธุรกิจยุคนี้ ความคิดสร้างสรรค์ + มีจุดแข็งที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ยังเป็นสิ่งจำเป็น แต่สิ่งสำคัญที่ทำควบคู่คือ Customer Journey ที่ลงลึกไปจนถึงเรื่องการจ่ายเงินก็สำคัญมาก

หลายแบรนด์เกิดใหม่ทำแบรนด์ได้ดี ได้น่าสนใจ แต่กลับมักตกม้าตายด้วยปัญหาอย่างการเข้าใจลูกค้า การทำระบบหลังบ้านให้ดี หรือแม้กระทั่งระบบการเงินที่ไม่ซับพอร์ต ไม่หลากหลาย ทำให้ปิดโอกาสเข้าถึงชาวต่างชาติ หรือกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ วันนี้เรามีแบรนด์ยุคใหม่ชั้นนำอย่าง PAÑPURI, RAVIPA, แก้ว Boutique และ Goodhood ที่จะมาให้คำแนะนำที่น่าสนใจในการทำธุรกิจยุคใหม่นี้ 

แก้ว Boutique เกิดขึ้นมายังไม่ถึง 2 ปี แต่มีแพชชัน และโจทย์ชัดเจนในการทำขนมไทยที่ตอบโจทย์ยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นโจทย์ที่ไม่ได้ง่าย ที่จะทำให้คนกินขนมไทย แล้วยังรู้สึกดูดี ดูเท่ ไม่ใช่แค่อร่อย 

Goodhood เกิดจากการที่เริ่มจากกลุ่มเพื่อนทำร่วมกัน โดยมีเป้าหมายว่า จะทำอย่างไรให้พ่อค้าแม่ค้า หรือการออกอีเวนต์ครั้งนึง มันคุ้มค่า ทั้งนักดนตรี พ่อค้าแม่ค้า รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในอีเวนต์ สามารถทำให้ Core Idea ของร้านค้าชัดเจน เติบโตไปพร้อม ๆ กัน

RAVIPA เกิดจากที่พี่สาวมีศักยภาพในการออกแบบ ได้รับรางวัลมามากมาย จึงดึงเอาจุดแข็งข้างกาย มาต่อยอดธุรกิจ RAVIPA โดยเริ่มต้นจากแหวนคู่อินฟินิตี้ จนเกิดมาเป็น RAVIPA ในวันนี้

PAÑPURI เองก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ทำโปรดักส์มามากมาย ซึ่งอยู่ใน Luxury wellness ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต 

PAÑPURI ไม่ทำเหมือนแบรนด์ใหญ่ แต่เราใช้จุดแข็งของตัวเอง หาแง่มุมตลาดที่ยังไม่มีใครทำ แล้วนำเสนอออกมา เราต้องเก่งใน Segment ที่เล็ก เพราะจะทำให้เราแตกต่าง ซึ่ง PAÑPURI เก่งในด้าน Perfume oil รวมถึงการเพิ่มบริการ Fullness ออนเซน ที่ทำให้บริการที่จับต้องได้ เป็นอีกความแตกต่างที่ผสมผสานกับโปรดัสก์ และบริการเพื่อลูกค้าอย่างแท้จริง 

Goodhood แข็งแกร่งได้ทุกวันนี้ เกิดจาก ‘ร้านค้า’ โดยการหาร้านค้าที่มีคุณภาพตั้งแต่แรก จะช่วยสร้างความแตกต่าง และยังได้ทำ Marketing ฟรีแต่ต้น เมื่อเรารวมแบรนด์ หรือร้านค้าที่มีคุณภาพเข้ามา จะยิ่งทำให้เกิดการบอกต่อ เสมือนนี่คือตลาดเดบิ้ว “ร้านค้าคุณภาพใหม่ ๆ” ซึ่งในวันนี้เกิดเป็น Experence Event คุณผู้ชายมาฟังเพลง ฟังดนตรี ส่วนคุณผู้หญิงมาช้อปปิ้ง จอย ๆ กัน Goodhood ถือเป็นอีกหนึ่ง Segment ที่น่าจับตา 

แก้ว Boutique เป็นอีก Segment ที่มีคนทำตลาดมากมาย แต่ขนมไทยของ แก้ว Boutique กลับแตกต่างกว่าใคร ซึ่งเกิดจากการปล่อย Product โดยไม่รู้ตัวไหนจะเป็น Hero แต่เราเน้นการเก็บ Feedback จากกลุ่ม Target แล้วปรับ ทำแบบนี้วนแล้วไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ใช่ที่สุด โดยเราไม่ลืมแก่นแท้ของแบรนด์ที่ตั้งต้นเป็น ขนมไทยที่ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไป ไม่ว่าใครกินก็ไม่เขิลอาย ดูดี ดูเท่ แต่ยังคงความอร่อย ทานง่าย ไม่หวานเกินไป นั่นเอง 

RAVIPA มีแกนสำคัญไม่ว่าคุณจะไปเปิดร้านที่ไหนก็ตาม เราต้องรู้ก่อนเสมอว่า ‘ลูกค้าของเราคือใคร’ ‘โปรดักส์ของเราเหมาะกับลูกค้าแบบไหน’ ซึ่งนี่เป็นอีกจุดที่ RAVIPA ใช้ความหลากหลายตรงนี้นำเสนอหลาย ๆ โปรดักส์ ซึ่ง Service Emotion สำคัญมาก โดยหนึ่งในโจทย์ที่น่าสนใจของร้าน RAVIPA ซึ่งคุณสา เจ้าของแบรนด์ ให้โจทย์ทีมงานต้องพาลูกค้าขึ้นไปชั้น 3 ให้ได้ เพื่อให้เข้าใจถึงเรื่องราว อินเข้าไปถึงความรู้สึก 

แก้ว Boutique ได้ไปเปืดร้านใหม่ที่ เซนทรัลพาร์ค ซึ่งคีย์สำคัญของการทำแบรนด์คือ Customer Centric ต่อให้โปรดักส์เราจะดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่ตรงใจ ไม่ตอบโจทย์ลูกค้าก็ไม่รอด ดังนั้นถ้าลูกค้าชอบ รู้ Feedback ต้องคิดและตัดสินใจให้ดี เพื่อปรับให้ถูกจุด 

PAÑPURI ในวันนี้คนอยากมาร้าน มาเพื่อรับประสบการณ์ ในแต่ละทุกร้านของ PAÑPURI จะไม่เหมือนกัน เพราะการดีไซน์ทุกสาขาไม่เหมือนกัน ทำให้คนแต่ละพื้นที่ได้รับประสบการณ์ที่ต่างกัน แต่สิ่งที่มีเหมือน ๆ กันคือ ความเป็น PAÑPURI ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่จุดไหนคุณจะได้คุณภาพที่เหมือนกัน แต่ได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างกันนั่นเอง 

Goodhood มองว่าการทำแบรนด์ หรือทำตลาด คีย์สำคัญคือ Community ร่วมกัน ไม่ใช่แค่กับคนมางาน แต่กับพ่อค้าแม่ค้า หรือนักดตรีเอง ก็เกื้อกูลกัน ช่วยกัน การทำธุรกิจสายอีเวนต์แบบนี้เราเติบโตคนเดียวไม่ได้ เราต้องเคิบโตไปกับพาสเนอร์ร่วมกัน ถึงจะทำได้อย่างยั่งยืน

ในยุคที่ผู้บริโภคเปลี่ยน เศรษฐกิจเปลี่ยน แบรนด์ PAÑPURI มองว่า ลูกค้าไทยในวันนี้โตขึ้น 3 เท่า เทียบตลาดต่างชาติโดยเฉพาะจีน ที่ห่างหายไป จึงมองโอกาสในกลุ่มลูกค้าใหม่ เช่น ญี่ปุ่น, ตะวันออกกลาง เป็นต้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่ไปโฟกัสกลุ่มนี้มากขึ้น แต่คีย์สำคัญเลยคือ ไม่ว่ากลุ่มลูกค้าจะเป็นแบบไหน แต่ Core ของเราห้ามเปลี่ยน ถ้าเราเด่นเรื่องกลิ่น อย่าง PAÑPUR ที่สามารถ Customize กลิ่นได้เองI เราต้องยังคงเอกลักษณ์นี้ไว้ 

RAVIPA เองก็บิ้วแบรนด์มาโดยตลอด เมื่อเจอการเปลี่ยนแปลง ในวันนี้มันมีความออกจากบ้านลืมเอากระเป๋าตังมาได้ แต่เราลืมหยิบโทรศัพท์ไม่ได้ เพราะทุกอย่างไร้เงินสดหมดแล้ว การทำธุรกิจในวันนี้ ช่องทางการชำระเงินสำคัญ เรามีช่องทางเดียวไม่ได้ ต่อให้่เราออกสินค้าที่ดีที่สุด แต่เราไม่สามารถปิดการขายได้ หรือทำให้ช่องทางการขายมันติดขัด แบบนี้ธุรกิจไม่ยั่งยืน เราควรขายของโดยเข้าใจพฤติกรรมใหม่ ๆ ไม่ใช่แค่เข้าใจคนไทยเท่านั้น แต่ควรโฟกัสไปถึงชาวต่างชาติ ว่าเขาถนัด หรือใช้ช่องทางไหนในการจ่ายเงินด้วย

Goodhood มองความท้าทายในวันนี้กับ Customer ไว้ว่า กลุ่มลูกค้าในยุคนี้มีความหลากหลายมากขึ้น รวมถึงสปอนเซอร์เองก็มีความต้องการหลากหลายมากขึ้น คีย์สำคัญคือเราต้องทำให้ทุกอย่าง Seamless มากที่สุด เพื่อเป็น Customer journey Seamless พูดง่าย ๆ คือทำอย่างไรให้เขาสะดวกที่สุด จองตั๋ว จองบัตรง่ายที่สุด หรือแม้กระะทั่งการเข้ามาใน Goodhood รู้สึกแฮปปี้มากที่สุดตั้งแต่จุดเริ่มต้น

PAÑPURI วันนี้ให้ความสำคัญกับเรื่องการจ่ายเงิน โดย KPI ที่ตั้งไว้เราต้องปิดเรื่องการจ่ายเงินได้ภายใน 15 วินาที หรือแม้กระทั่งการเพิ่มช่องทาง Alipay เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าจีน หรือกลุ่มใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน

ความท้าทายในวันนี้ ทั้ง 4 แบรนด์ มองภาพรวมคล้าย ๆ กันที่น่าสนในคือ เรื่องของ ‘คน’ อย่างการ Empty กับทีมงาน, พาสเนอร์ เมื่อเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว เราต้องไปให้สำเร็จร่วมกัน รวมไปถึงความเป็นตัวเอง ความแตกต่าง ที่แบรนด์ต้องมี ในยุคนี้ถ้าทำเหมือนคนอื่นเกิดยากมาก และไม่ควรเป็นแบบนั้นเด็ดขาด 

และสุดท้ายเมื่อพื้นฐานแข็งแรง การขยับ Mindstone สำคัญ ในวันนี้ธุรกิจไทย SME ไทย ไปสู่ Global มากยิ่งขึ้น การไม่ยอมแพ้ ทำตัวเองให้พ ิเดะพร้อม และในวันที่โอกาสมา เราจะรับโอกาสนั้นได้จริง เชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิด ตัวเองทำ หรือถ้าสัญญาอะไรกับลูกค้าไว้ คุณต้องทำ ต้องจริงใจกับมัน เราต้องไม่ทำให้คนที่รักเราผิดหวังเด็ดขาด นี่คือโจทย์สำคัญของการทำธุรกิจยุคนี้ 


ธุรกิจที่ดี ต้องมีระบบการชำระเงินที่ครอบคลุมทุกมิติ และนี่คือครั้งแรกในไทย! Beam เปิดตัว Bolt+ เขย่าวงการฟินเทค ด้วยอุปกรณ์รับชำระเงินสุดล้ำ ที่ช่วยให้ปิดการขายได้ทุกที่ ติดสปีดธุรกิจสู่สังคมไร้เงินสดและเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ

Bolt+ ปฏิวัติวงการการรับชำระเงิน ชูฟีเจอร์ ‘One-Tap Payment’ ครบทุกวิธีการชำระเงินในอุปกรณ์เดียว พกพาง่าย ปลอดภัย เสริมศักยภาพร้านค้าไทยสู่สังคมไร้เงินสด  เสริมศักยภาพธุรกิจทุกรูปแบบ ตั้งแต่รายย่อยถึงรายใหญ่ เชื่อมต่อกับ POS และจุดชำระเงินอัตโนมัติได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยนวัตกรรมเฉพาะจาก Beam คาดปีแรกช่วยผู้ประกอบการกว่า 5,000 ราย

Beam สตาร์ทอัพฟินเทคด้านการชำระเงินชั้นนำของประเทศไทย เปิดตัว Bolt+ โซลูชันรับชำระเงินรูปแบบใหม่สำหรับหน้าร้านที่รองรับทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต QR พร้อมเพย์ E-Wallet รวมถึงการผ่อนชำระจากธนาคารชั้นนำสูงสุด 7 แห่ง ช่วยให้ร้านค้ารับชำระเงินสำเร็จในหลักวินาที ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล Bolt+ 

ซึ่งได้รับการออกแบบให้พกพาและใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ที่ต้องการปิดการขาย มาพร้อมขั้นตอนการสมัครที่ง่ายและอนุมัติบัญชีรวดเร็วใน 1-3 วันทำการ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและร้านค้าสามารถเปลี่ยนทุกพื้นที่ให้กลายเป็นโอกาสทางการขาย สร้างความสำเร็จทางธุรกิจ ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย

คุณวิน วารีเกษม ประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง Beam กล่าวว่า “ปัจจุบันผู้บริโภคทั่วโลกหันมาใช้จ่ายผ่านธุรกรรมไร้เงินสดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีการเงิน เราจึงเชื่อว่าประเทศไทยสามารถก้าวสู่สังคมไร้เงินสดได้ถึง 90% ภายในปี 2030 หรือหมายถึง 90% ของธุรกรรมการชำระเงินทั้งหมดจะอยู่ในรูปแบบดิจิทัล”


ประเทศไทยเองมีความก้าวหน้าที่โดดเด่น โดยมีอัตราผู้ใช้งาน Mobile Banking สูงที่สุดในโลกถึง 97% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต (ข้อมูลจาก Visa) 

ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนต่อไป ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือกระบวนการชำระเงินที่สะดวกขึ้นและโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพ ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับประเทศไทยที่กำลังเห็นการเติบโตของธุรกรรมไร้เงินสดอย่างรวดเร็วเช่นกัน 

"หากประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายที่ 90% ของธุรกรรมทั้งหมดเป็นดิจิทัล จะช่วยลดจำนวนเครื่องเก็บเงินสดและแคชเชียร์ลงได้กว่าครึ่งทั่วประเทศ ลดตู้ ATM ลงถึง 80% เหลือน้อยกว่า 20 เครื่องต่อประชากร 100,000 คน ลดอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเงินสดลง ที่สำคัญยังสามารถประหยัด "ต้นทุนเศรษฐกิจ" ได้สูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 48,341 ล้านบาท) พร้อมลดสัดส่วนเงินสดในระบบ

การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถลดต้นทุนธุรกรรมทางการเงินลงได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยปกติร้านค้าจะมีต้นทุนจากการรองรับเงินสด ในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับยอดขาย ไม่นับการสูญหายหรือการนับผิด ขณะเดียวกันยังเพิ่มขีดความสามารถในการเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้และเสริมศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจไทยในระดับภูมิภาค”

ทั้งนี้ จากแนวโน้มดังกล่าว Beam จึงพัฒนา “Bolt+” อุปกรณ์รับชำระเงินขนาดพกพารูปแบบใหม่ ที่รองรับการชำระเงินไร้เงินสดทุกรูปแบบ เปลี่ยนการรับชำระเงิน ณ จุดขาย เพียงแตะบัตรบนอุปกรณ์ก็สามารถชำระเงินได้ทันที ครอบคลุมทั้งหน้าร้าน งานอีเวนต์ เชื่อมต่อระบบจัดการออเดอร์ไปจนถึงธุรกิจทุกขนาดที่ต้องการยกระดับประสบการณ์การชำระเงินให้ดียิ่งขึ้น พร้อมตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ Beam ในการสร้าง “The World’s Simplest Ways to Checkout” ที่ทำให้การชำระเงินไม่เพียงสะดวกและรวดเร็ว แต่ยังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

คุณวินกล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดตัว Bolt+ ถือเป็นการตอบรับรูปแบบการชำระเงินของประเทศไทยที่พร้อมก้าวสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มตัว ทั้งจากโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาแล้วและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดย Bolt+ เป็นโซลูชันการชำระเงินที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ธุรกิจค้าปลีกและ SME ไทย ด้วย 5 จุดเด่นที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ได้แก่

  1. รองรับการชำระเงินครบทุกรูปแบบ ทั้งบัตรเครดิต/เดบิตในประเทศและต่างประเทศ QR พร้อมเพย์ ผ่อนชำระจากธนาคารสูงสุด 7 แห่ง E-Wallet อย่าง Alipay และ WeChat Pay 
  2. ฟรี QR พร้อมเพย์ ค่าธรรมเนียมบัตรเริ่ม 1.8% ไม่มีรายเดือน ไม่มีค่ามัดจำเครื่องหรือค่าใช้จ่ายแอบแฝงอื่น ๆ
  3. เริ่มต้นใช้งานง่ายและไว อนุมัติบัญชีภายใน 1-3 ทำการ เริ่มขายได้อย่างรวดเร็ว 
  4. ยืดหยุ่นทุกสถานการณ์การขาย ใช้งานได้ทั้งแบบ Standalone หรือเชื่อมต่อกับระบบ POS และอุปกรณ์เดิม รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi, Hotspot และ SIM card
  5. ปลอดภัยมั่นใจในทุกธุรกรรม บริหารจัดการธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มครบวงจรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่านมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลของอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน (PCI DSS) และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

เพื่อสนับสนุนร้านค้าในการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบ Beam จึงเปิดตัว "Cashless Club" ที่ช่วยผลักดันการรับชำระเงินไร้เงินสด โดยการมอบดาว 1 ถึง 3 ดาวเป็น Badge of Honour  ให้ร้านค้าที่สมัครเพื่อเป็นสัญลักษณ์ยืนยันความมั่นใจว่าร้านค้านั้นมีความสามารถในการรับชำระเงินแบบดิจิทัลได้หลากหลายรูปแบบ  และมีความพร้อมในการลดหรือยกเลิกการใช้เงินสด และ Beam มีการมอบสิทธิประโยชน์มากมาย รวมถึงการซื้อ Bolt+ ในราคาพิเศษ


ร้านค้าที่สนใจสามารถพรีออเดอร์ Bolt+ ได้ในราคา 4,490 บาท

ผ่านเว็บไซต์ โดย Bolt+ จะถูกจัดส่งภายในเดือนตุลาคม 2568 หรือเข้าร่วม Cashless Club เพื่อรับสิทธิประโยชน์พิเศษ ดังนี้

ระดับ 1 Cashless Star (รับชำระผ่าน QR และบัตรเกิน 10% ของธุรกรรมทั้งหมด)

ส่วนลด Bolt+ 5% พร้อม E-certificate และสติกเกอร์ Cashless Club

ระดับ 2 Cashless Stars (รับชำระผ่าน QR และบัตรเกิน 50% ของธุรกรรมทั้งหมด)

ส่วนลด Bolt+ 10% พร้อมสื่อรางวัลเดียวกัน

ระดับ 3 Cashless Stars (รับชำระไร้เงินสด 100%)

ส่วนลด Bolt+ 15% พร้อมสื่อรางวัลครบชุด และสิทธิพิเศษขอรับ Bolt+ ฟรี เมื่อเปิดสาขาใหม่

ทุกร้านค้าสามารถเข้าร่วม Cashless Club ได้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นลูกค้า Beam เท่านั้น และสามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Beam และโซลูชันการชำระเงินล่าสุดได้ที่ beamcheckout.com

Beam | Payments Platform for Growing Businesses
Beam is an experience-driven checkout platform that supports a variety of online payment methods, making it easier for growing businesses to accept payments.
trending trending sports recipe

Share on

Tags