ธุรกิจในยุคนี้ไม่ได้วัดกันที่ใครใหญ่กว่า หรือใครมีทุนมากกว่า แต่ ‘ใครรู้จักลูกค้าดีกว่า’ และ ‘ใครลงมือทำได้เร็วกว่า’ มาอุ่นเครื่องความรู้กันแบบเบา ๆ ก่อนเริ่มงาน CTC2025 โดยคุณจุ๊บ The Coffee Club และ คุณรัส KARUN
ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคพลิกหน้ามือเป็นหลังมือทุกไตรมาส การยืนหยัดอยู่ในตลาดไม่ใช่เรื่องของแบรนด์ใหญ่เท่านั้น แต่กลายเป็นว่าคีย์สำคัญของเรื่องนี้คือ “ใครปรับตัวได้เร็วกว่า” และ “ใครเข้าใจลูกค้ามากกว่า” จะสามารถฝ่าวิกฤตได้ทุกสถานการณ์
วันนี้ CREATIVE TALK ได้รับเกียรติจาก 2 Speaker คนสำคัญจากในงาน CTC2025 คุณจุ๊บ - นงชนก สถานานนท์, ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เอ็มเอฟ คาเฟ่ แอนด์ เรสเตอรองต์ จำกัด และ คุณรัส - ธัญย์ณภัคช์ ศิริประภาเจริญ, ผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์ KARUN
ที่จะมาร่วมพูดคุยกันอุ่นเครื่องความรู้กันแบบเบา ๆ ก่อนเริ่มงาน CTC2025 ถึงสถานการณ์ทั้งในภาพของแบรนด์ใหญ่อย่าง The Coffee Club และฝากฝั่ง SME แบรนด์ของคนรุ่นใหม่อย่าง KARUN โดยทั้ง 2 แบรนด์นี้เป็นตัวอย่างที่สะท้อนยุคนี้ได้ชัดว่า ถ้าธุรกิจไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จงเริ่มจากการฟังลูกค้าให้มากกว่าพูด และลงมือปรับให้ไวกว่าแค่คิด
เริ่มจากการเข้าใจจังหวะตลาด และเสียงของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง รวบมาให้แล้วกับ 7 ข้อคิดสำคัญในการปรับตัวของคนทำธุรกิจ เพราะการปรับตัว ไม่ใช่ทางเลือก แต่มันคือความอยู่รอด
1. ขนาดไม่ใช่เรื่องสำคัญ “ความพอดี” ต่างหากที่ผู้บริโภคต้องการ
สิ่งที่น่าสนใจคือ คุณจุ๊บ The Coffee Club และ คุณรัส KARUN พูดไว้เหมือนกันคือ มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่อย่างชัดเจนว่า จริง ๆ แล้วคนรุ่นใหม่ไม่ได้ ‘รัดเข็มขัด’ เพราะต้องเซฟค่าใช้จ่าย แต่คนกลุ่มนี้เขา ‘เลือกใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่ามากขึ้น’ ลูกค้าไม่ได้ต้องการของที่เยอะขึ้น แต่ต้องการสิ่งที่พอดีกับชีวิต
ตัวอย่างเช่น คนอาจไม่ซื้อน้ำแก้วใหญ่แล้ว แต่กลับซื้อแก้วเล็ก 2 แก้ว คนละรสชาติ เพื่อความหลากหลายในการกิน หรือบางครั้งการซื้อ 2-3 แก้ว ก็อาจจะไม่ใช่ซื้อทีเดียว เป็นการบริโภคเช้า - กลางวัน - เย็น เป็นไซส์เล็กแต่ดื่มได้ถี่ขึ้น
ดังนั้นผู้บริโภคมีความสุขกับการเลือกที่ตรงจริตเขามากขึ้น ทำให้ธุรกิจต้องปรับโมเดลทั้งไซส์สินค้า ปรับขนาดสินค้า (Portion) ให้มีทางเลือกหลายระดับ, ออกแบบการทำโปรโมชันร่วมกับ insight ลูกค้าเพื่อตอบโจทย์มากขึ้น และต้องหมั่นสังเกตพฤติกรรมการซื้อใหม่ เช่น ความถี่ในการซื้อ, จำนวนต่อครั้ง เป็นต้น
2. ไม่ปรับตัว = ความเสี่ยงสูงสุดในธุรกิจ
คุณรัส KARUN ย้ำเสมอตลอดการสัมภาษณ์ว่า ความเสี่ยงที่แท้จริงของการทำธุรกิจ ไม่ใช่การแข่งขัน แต่คือ ‘การที่แบรนด์ไม่ยอมเปลี่ยน’ หลายธุรกิจติดกับดักความสำเร็จเดิม และเลือกจะนิ่งไว้เพราะกลัวล้ม แต่จริง ๆ แล้ว ตลาดเปลี่ยนเร็วเกินกว่าจะอยู่นิ่งได้
อย่าง Avery Wong แบรนด์ชานมพรีเมียมน้องใหม่ของคุณรัสเอง ก็มีการปรับตัวเปิดแบรนด์ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่ร้านชานมธรรมดา แต่ถูกออกแบบให้มีกลิ่น, รสชาติ และประสบการณ์ที่แตกต่างอย่างชัดเจนไม่เหมือนใคร เพื่อเข้าถึงลูกค้าเฉพาะกลุ่ม โดยต้องการขยายไปยังความชอบใหม่ของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการความเป็นตัวเองมากขึ้น
สิ่งสำคัญของการปรับตัวคือ ต้องหาความต้องการใหม่ที่ลูกค้าสนใจแต่แบรนด์อื่นยังไม่ทำ รวมไปถึงปรับแบรนด์อย่างชาญฉลาด โดยไม่ทิ้งตัวตนเดิม มองภาวะวิกฤต ให้เป็นโอกาสได้ทดลองอย่างมีสติ
3. การสร้างความคุ้มค่าโดยไม่ลดคุณค่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม!
คุณจุ๊บ The Coffee Club ในฐานะที่แบรนด์อยู่มานาน ความสำเร็จนั้นเกิดจากการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง และหนึ่งในสิ่งที่เราไม่สามารถละเลยได้คือ ‘ลูกค้าทุกคนมีความคาดหวังความคุ้มค่ามากขึ้น’ ทุกแบรนด์จึงถูกบังคับให้จัดโปร, จัดแคมเปญอยู่เสมอ แต่เราจะทำอย่างไรให้ไม่ให้แบรนด์ของเราดู “ลดเกรดแบรนด์” ลง
หนึ่งในแกนหลักที่ The Coffee Club ให้ความสำคัญคือ Core Product Efficiency หรือ ความสามารถของสินค้าหลักในการสร้างคุณค่า, ต้นทุนที่คุ้ม และผลลัพธ์ที่วัดได้ โดยทำร่วมกับกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญคือ LTO (Limited Time Offer) หรือ Meal Deal ที่ทาง The Coffee Club ทำแล้วเห็นผลจริง อย่างการสั่งอาหารในราคาพิเศษ และมีการเพิ่ม Option ทางเลือกให้ลูกค้าไม่ว่าจะเครื่องดื่มในราคาพิเศษ ซึ่งเป็นการเพิ่ม Value โดยไม่กระทบ Premium Brand Image ของทางแบรนด์ แต่ขยาย Touchpoint ที่เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งยังดูดี แต่ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าขึ้น
4. ฟังเสียงลูกค้าให้ได้ยิน แม้ลูกค้าไม่ได้พูดออกมา
คุณรัส KARUN เล่าให้ฟังว่า หลายครั้ง ลูกค้าไม่เดินมาบอกตรง ๆ ว่าอยากได้อะไร แต่เสียงของพวกเขามักถูกซ่อนอยู่ในพฤติกรรม เช่น การสั่งเมนูเดิม ๆ, ถามหาเมนู Seasonal, หรือเลือกแพ็กคุ้มค่ามากขึ้น ซึ่งทั้ง คุณรัส และ คุณจุ๊บเอง จึงเน้นเสมอว่า การวิเคราะห์เชิงพฤติกรรม สำคัญกว่าการรอ Feedback จากลูกค้า เพราะสิ่งเหล่านี้บอกทิศทางการเปลี่ยนแปลงของตลาด ซึ่งเทคนิคง่าย ๆ ที่เจ้าของธุรกิจ หรือนักการตลาดสามารถนำไปปรับใช้ได้ทันทีคือ
- ตั้งสมมติฐานจากยอดขาย เช่น เมนูไหนเริ่มตก = ลูกค้าเบื่อ หรืออาจจะไม่ได้สนใจ ?
- สังเกตการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ เช่น ช่วงเวลา Peak, เมนูแถมขายดีไหม เป็นต้น
- แยกข้อมูลเสียงส่วนใหญ่ vs เสียงส่วนน้อย ก่อนตัดสินใจปรับแบรนด์
5. ระบบหลังบ้าน (Operation System) คือหัวใจของประสบการณ์หน้าร้าน
เรื่อง Operation System เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของ The Coffee Club และ KARUN โดยเฉพาะเรื่องของการสั่งอาหาร และเครื่องดื่ม ต้องมีความเร็ว, ความสะอาด และประสบการณ์ลูกค้าแบบ Personalized
หนึ่งในตัวอย่างที่เด่นชัดจากทาง The Coffee Club คือ การมุ่งเน้นเรื่อง Speed ความเร็วในการเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้า ซึ่งยังถือเป็นช่องว่างที่เราต้องปรับปรุงอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงบริหารอื่น ๆ ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราเป็นคนสำคัญ เราจำหน้าเขาได้, จำชื่อเขาได้ ในการเขียนชื่อบนแก้ว ซึ่งถือเป็น Personalized เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึก Cozy มาร้านนี้เมื่อไหร่ก็อบอุ่นหัวใจ สบาย ๆ ไม่เร่งรีบ ผ่อนคลายได้ เหมือนเป็นเพื่อนที่รู้ใจ
6. โตแบบมีกำไร ไม่ใช่โตเพราะขยายไว โดยไม่มีแผนระยะยาว
การเติบโตที่ดีไม่ใช่แค่การเพิ่มยอดขาย แต่ต้อง “Profitable Growth” ดูตั้งแต่ค่าเช่า, คืนทุน, ไปจนถึงพื้นที่ใช้สอยของร้าน การลงทุนต้องคุ้ม และตอบโจทย์ลูกค้าได้จริง
อย่างเคสของ The Coffee Club ที่เน้นการลงทุนที่ช่วยลดต้นทุนในระยะยาว อย่างการ Renovate ร้านใหม่ และปรับครัวใหม่ เพื่อให้รวดเร็วต่อการทำอาหาร คุณจุ๊บเน้นย้ำเสมอว่าโอกาสสำคัญในช่วงเวลานี้ ไม่ใช่การอยู่เฉย ๆ แล้วโดนวิกฤตกลืนกิน แต่มันต้องขยายโอกาสให้ทันตามความต้องการของลูกค้า โดยร้านใหม่ที่ได้ทำไปแล้วนั้นคือสาขา สามย่านมิตรทาวน์ ในรูปแบบ Neighborhood Cafe ซึ่งในหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนจุดอับให้เป็นพื้นที่สงบ โดยใช้พื้นที่จุดอับของร้าน เนรมิตกลายเป็นพื้นที่สำหรับทำงาน โดยมีทั้ง Wi-Fi, ปลั๊กไฟ และโคมไฟทุกจุด จึงทำให้จากเดิมจุดอับของร้านที่ไม่มีคนนั่ง ปัจจุบันกลายเป็นจุดที่มีคนมาใช้บริการเยอะที่สุด
หรืออย่างเคสของ KARUN เอง ก็มีการเก็บข้อมูล และใช้ Data ได้อย่างแม่นยำ เพราะการจะเปิดแบรนด์ใหม่ หรือลงทุนกับสาขาใหม่ มันมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นการมีข้อมูลถึงสำคัญมาก คุณรัสเล่าให้ฟังว่าหลังบ้านมีการเก็บข้อมูลค่อนข้างเยอะ และรู้ว่าตลาดตอนนี้กำลังต้องการอะไรบ้าง หรือตลาดกำลังมองหาอะไร และอะไรขาดอยู่บ้าง รวมไปถึงการมี Resource ก็สำคัญ เพราะเรามีประสบการณ์มาแล้ว การมาเริ่มร้านถัดไปจะไม่ยากเท่ากับตอนเริ่มต้นที่เริ่มจาก 0 ไป 1 เหมือนตอนแรก ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในโอกาสที่ทางคุณรัส และทีม ประเมินมาอย่างดีว่าตลาดจะตอบรับอะไรบ้าง
โดยสรุปแล้วทั้ง 2 แบรนด์มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญไม่ใช่แค่สร้างผลกำไรเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นเรื่องของ Majority สูงสุดของลูกค้า เพื่อส่งเสริมให้แบรนด์ดีขึ้น และลูกค้าดีขึ้น
7. คนทำงานต้องมี Entrepreneurship Spirit
สิ่งที่ทำให้ KARUN และ The Coffee Club เติบโตได้ในวันนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่หัวเรือใหญ่เท่านั้น แต่เรื่องของ ‘คนทำงาน’ คืออีกหัวใจเบื้องหลังความสำเร็จ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘Entrepreneurship Spirit’ ทุกคนในทีมต้องคิดแบบเจ้าของ ต้องมองหาโอกาสใหม่ ๆ และมีอิสระในการสร้างโปรเจกต์ของตัวเอง ตั้งแต่การที่ผู้นำต้องให้อำนาจในการตัดสินใจทีมงานระดับปฏิบัติการ, มีการสนับสนุนให้ทดลอง ไม่ต้องรอให้พร้อม และฝึกหมั่นสังเกตให้เก่ง เอ๊ะให้เป็น เพราะนั่นคือคนที่เข้าใจลูกค้าจริง ๆ
ในโลกที่เปลี่ยนไวเกินกว่าจะแค่รอคำสั่ง คนที่คิดแบบเจ้าของจะนำพาองค์กรให้ก้าวต่อได้อย่างยั่งยืน Entrepreneurship Spirit คือหนึ่งในทัศนคติสำคัญของ “ผู้ประกอบการ” ที่ไม่ได้จำกัดแค่คนทำธุรกิจ แต่คือ วิธีคิดแบบคนที่พร้อมสร้างสรรค์สิ่งใหม่, กล้าลอง, กล้าล้ม และลงมือทำจริง โดยไม่ต้องรอให้พร้อม มีความกระตือรือร้นที่จะมองเห็นโอกาส ดังนั้นผู้นำที่เก่งในธุรกิจ คุณต้องเก่งการบริหารคนด้วยเช่นกัน เราต้องกล้าให้อิสระกับคนทำงาน และต้องให้ Authority หรืออำนาจตัดสินใจกับคนทำงาน เพื่อทำให้โปรเจกต์ต่าง ๆ เกิดขึ้นจริง
สุดท้ายนี้ธุรกิจในยุคนี้ไม่ได้วัดกันที่ใครใหญ่กว่า หรือใครมีทุนมากกว่า แต่ ‘ใครรู้จักลูกค้าดีกว่า’ และ ‘ใครลงมือทำได้เร็วกว่า’
คนที่อยู่ในสนามธุรกิจจริงและไม่เคยหยุดฟังลูกค้าคือคำตอบของการเป็นผู้ประกอบการ และคนทำธุรกิจที่ปรับตัวอยู่เสมอ เพราะสุดท้าย การฟัง ไม่ได้จบแค่เข้าใจ แต่คือการลงมือทำทันที เพื่อสร้างความแตกต่าง ดังนั้นการปรับตัว ไม่ใช่ทางเลือก แต่มันคือความอยู่รอด
ทั้งคุณจุ๊บ (The Coffee Club) และ คุณรัส (KARUN) พูดตรงกันหลายเรื่องและน่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะ ให้คิดเสมอว่า “ทุกการปรับตัว เราจะได้ไปเจอสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน” อย่างบางทีเราทำธุรกิจแบบเดิม เราอาจจะปรับตัวหาลูกค้ามากขึ้นด้วยการลดราคา แต่ปัจจุบันมันต่างออกไปมาก ตลาดมันผันผวนเร็วมาก เราอาจจะต้องผลักดันตัวเองไปในที่ ๆ เราไม่เคยไป แต่ยังถนัดอยู่ ดังนั้นทางที่ดีเราจึงควรเตรียมตัว เตรียมพร้อมรับมือกับทุกอย่างตลอดเวลา เตรียม “Prepped for the worth” คือเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสิ่งที่มีคุณค่า และโอกาสข้างหน้าเสมอ
จงจำไว้ว่า “ตลาดจะเปลี่ยนไปเสมอ” แต่ถ้าเรารู้ว่า “เราคือใคร และลูกค้าต้องการอะไร” การปรับเปลี่ยนก็ไม่ใช่การสละอัตลักษณ์ตัวเอง แต่คือการ “ใช้สิ่งที่มีอยู่แล้ว ให้ตอบโจทย์ได้มากขึ้นกว่าเดิม”
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเนื้อหาจาก 2 Speaker คนสำคัญอย่าง คุณจุ๊บ (The Coffee Club) และ คุณรัส (KARUN) และแน่นอนว่าภายในงาน CTC2025 เราจะได้มาเจาะลึกอีกมาก! ถึงการทำธุรกิจที่ยังมีอีกหลายมิติให้เจ้าของธุรกิจได้ศึกษา อัปเดตเทรนด์ความรู้ พร้อมจะเป็นพื้นที่แห่งการทดลอง และมอบเครื่องมือสำคัญให้กับทุกคนได้เข้าใจโลกของการทำธุรกิจ ในครึ่งปีหลังต่อจากนี้!
SUPALAI Presents CREATIVE TALK CONFERENCE 2025 งานมหกรรมความรู้ ที่จะอัปเดตเทรนด์ มุมมอง เทคนิค และเรื่องราวเบื้องหลังธุรกิจจากผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหาร และคนวงการมากมาย
🎟 บัตร Conference ราคา 1,990 บาท
👉 ซื้อบัตรเลยที่ https://bit.ly/44zvbtO

บัตร Conference ทำอะไรได้บ้าง
- ร่วมงานได้ทั้ง 2 วันเต็ม (4–5 ก.ค. 2025)
- ดูย้อนหลังทุก Sessions ได้ 6 เดือน
- After Party สนุกแบบไม่ต้องห่วงเนื้อหา
- ลุ้นของจากพาร์ทเนอร์ & สนุกกับบูธกิจกรรมเพียบ!
ปักหมุดวันให้พร้อม แล้วมาเจอกัน ที่งาน SUPALAI Presents CREATIVE TALK CONFERENCE 2025
📌 ศุกร์ 4 ก.ค. - เสาร์ 5 ก.ค. 2025 (Conference Day)
📌 ที่ Bhiraj Hall, BITEC Bang na
แล้วพบกับวัน Focus Workshop Day สุดเข้มข้น
📌 พุธ 2 ก.ค. 2025
📌 ที่ Bhiraj Hall, BITEC Bang na
สัมภาษณ์ เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ