เจาะลึกวิธีคิดจากแบรนด์ HOKA เส้นทางของผู้นำที่ไม่เคยหยุดลงมือทำ

“คุณจะเข้าใจนักวิ่งได้อย่างไร ถ้าคุณไม่เคยวิ่งมาราธอนจริง ๆ” หนึ่งในบทเรียนที่พลิกชีวิตของคุณโอ๊ค ผู้นำเข้าแบรนด์ HOKA อย่างเป็นทางการในไทย กับบทเรียนธุรกิจที่มีแนวคิดน่าสนใจ

Last updated on ส.ค. 28, 2025

Posted on ส.ค. 28, 2025

“คุณจะเข้าใจนักวิ่งได้อย่างไร ถ้าคุณไม่เคยวิ่งมาราธอนจริง ๆ”

หนึ่งในบทเรียนที่พลิกชีวิตของคุณโอ๊ค - พรศักดิ์ ชินวงศ์วัฒนา" CEO แห่ง Rev Edition ผู้นำเข้าแบรนด์ HOKA อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ผู้ไม่เคยหลงรักการวิ่ง แต่กลับกลายเป็นคนที่พาแบรนด์รองเท้าวิ่งอย่าง HOKA เติบโตจนกลายเป็นแรงบันดาลใจของนักวิ่งไทยนับพัน ด้วยความเชื่อที่ว่าถ้าเราไม่เคยวิ่ง เราไม่มีวันเข้าใจนักวิ่ง

ก่อนจะขายอะไร เราต้องเข้าใจเขาให้ลึกที่สุด...เข้าใจตั้งแต่ที่มาของแบรนด์ จนถึงจิตวิญญาณของผู้สร้างแบรนด์

ต้องเล่าก่อนว่าคุณโอ๊ค HOKA คือหนึ่งในคนที่นำเข้าแบรนด์ระดับโลกมากมา และเป็นผู้บุกเบิกการเปิดร้าน Nike Concept Store แห่งแรกของไทยเมื่อปี 2000 ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ในยุคที่ร้านขายรองเท้ายังห่อพลาสติกแขวนอยู่กับโครงเหล็ก 

แต่ความน่าสนใจมากไปกว่านั้นคือ เวลาคุณโอ๊คจะดีลเลือกแบรนด์เข้ามาในไทย เขาไม่เคยเลือกจาก Margin หรือกระแส แต่เลือกจาก ‘ความจริงใจของแบรนด์’ และ ‘ความเชื่อร่วมกัน’ เราไม่ได้มองแค่การขายของ แต่คือการส่งมอบ "ประสบการณ์ของแบรนด์" ให้ผู้บริโภคได้รู้จักความเป็นตัวตนของแบรนด์จริง ๆ ซึ่งนี่แหละคือวิธีคิด และความตั้งใจสำคัญที่ทำให้เกิดการนำเข้าแบรนด์ใหม่ ๆ

"ผมเชื่อว่า ก่อนจะขายอะไร เราต้องเข้าใจเขาให้ลึกที่สุดเสียก่อน เข้าใจตั้งแต่ที่มาของแบรนด์ จนถึงจิตวิญญาณของเขา" 

ทำไมถึงต้องเป็นแบรนด์ HOKA ทั้ง ๆ ที่ยุคนั้นคนไทยแทบไม่มีใครรู้จัก

หากย้อนไปปี 2017 แบรนด์ HOKA เป็นแบรนด์ที่คนไทยแทบไม่รู้จัก หรือในช่วงเวลานั้นคุณโอ๊คบอกไว้ว่า คนที่วิ่งสวนลุม 100 คนจะใส่ HOKA ไม่ถึง 10 คน แต่เขากลับเลือกลงทุนกับแบรนด์นี้ เหตุผลสำคัญเลยคือ คุณโอ๊ครับรู้ได้ถึงความจริงใจ และความเชื่อที่มีร่วมกัน เพราะเขาเข้าใจว่า HOKA ไม่ได้พูดแต่จะขายรองเท้า แต่ HOKA ขาย "วิธีคิดใหม่ของการวิ่ง"

ต้องยอมรับว่าในยุคสมัยนั้น Minimal Running Shoes หรือ รองเท้าวิ่งที่บางที่สุด เบาที่สุด และเชื่อกันว่านั่นคือ สูตรสำเร็จของการทำเวลาในมาราธอน แต่ปัญหาคือ ความเชื่อนี้แลกมาด้วย ‘ความเจ็บปวด’ ของนักวิ่ง

ฝ่าเท้าที่ระบม หัวเข่าที่รับแรงกระแทกแทบไม่ไหว สะโพกที่สั่นสะเทือนจากทุกย่างก้าว ใครที่เคยผ่านการวิ่งยาว ๆ จะรู้ว่าความบางเบาไม่เคยช่วยบรรเทาความเจ็บปวดเหล่านี้ได้เลย

และนั่นคือหนึ่งในแนวคิดใหม่ของการวิ่ง HOKA ได้พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองเกิดเป็นรองเท้าที่พื้นหนา จนซึ่งเบื้องหลังความหนานี้ คือวิธีคิดที่พลิกทั้งวงการวิ่งโลก แทนที่จะทำตามตลาด HOKA เลือก คิดต่าง และสร้างรองเท้าที่มี 3 คุณสมบัติหลักซึ่งไม่มีใครกล้าทำในเวลานั้น

Cushion หนา - รองรับแรงกระแทกได้ดีกว่าใคร
Lightweight - ถึงจะหนาแต่ยังคงน้ำหนักเบา
Rocker Shape - พื้นรองเท้าโค้งเหมือนล้อจักรยาน ช่วยให้วิ่งไหลลื่นและประหยัดแรง

สิ่งที่น่าสนใจคือ HOKA ไม่ได้เริ่มจากการทำรองเท้ามาราธอน แต่เริ่มจาก Trail Running หรือ การวิ่งบนภูเขาที่ใช้ระยะทาง 60–100 กิโลเมตร ซึ่งนักวิ่งต้องการการซัพพอร์ตมากกว่าการทำเวลา 

และนี่คือเหตุผลสำคัญที่คุณโอ๊ค ไม่ได้มองเห็นแค่ตลาด แต่การเลือกนำ HOKA เข้ามาไทยตั้งแต่ยังไม่มีใครรู้จักคือการเห็นว่า นี่คือแบรนด์ที่เข้าใจคนจริง ๆ

ในประเทศที่คนเริ่มหันมาดูแลสุขภาพ การมีแบรนด์ที่ไม่ได้แค่ขายรองเท้า แต่ขายแรงบันดาลใจให้คนเริ่มวิ่ง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของ Product Placement แต่คือการวาง Purpose ให้อยู่ในใจคน 

ซึ่ง HOKA คือแบรนด์ที่เต็มไปด้วย Human Touch และมี Storytelling ในตัวมันเอง นี่คือโอกาสใหญ่ของทั้งธุรกิจและสังคม

5 บทเรียนธุรกิจของแบรนด์ที่ ‘เข้าใจคน’ ย่อมไปไกลกว่าแบรนด์ที่ ‘แค่เข้าใจตลาด’

ในฐานะผู้นำองค์กรที่เติบโตในโลกการแข่งขันสูง คุณโอ๊ค HOKA ไม่เคยคิดจะเอาชนะใคร แต่เขาเชื่อในคำว่า “ระยะยาว" และไม่ได้เน้นแต่เพียงยอดขายเท่านั้น แต่เชื่อว่า ทีมยังอยู่ด้วยกันไหม? คนของเรายังเชื่อมั่นในองค์กรอยู่หรือเปล่า?

เพราะการเป็น CEO ที่ดี ไม่ได้วัดที่แค่ความเร็วของการวิ่ง แต่วัดที่ความเสมอต้นเสมอปลายของ "ความสัมพันธ์ ความเชื่อใจ และความเข้าใจเป้าหมายเดียวกัน และนี่คือ 5 บทเรียนธุรกิจของแบรนด์ที่ ‘เข้าใจคน’ ย่อมไปไกลกว่าแบรนด์ที่ ‘แค่เข้าใจตลาด’

1. ดีลที่ไม่ได้ปิดด้วยเงิน แต่ปิดด้วยใจ บทเรียนจากการพา HOKA เข้าสู่เมืองไทย

เวลาพูดถึงการ “ดีลแบรนด์ระดับโลก” หลายคนอาจคิดถึงภาพโต๊ะประชุมหรูหรา PowerPoint หนา ๆ พร้อมตัวเลขคาดการณ์ยอดขายเป็นล้านคู่ และเช็คเงินสดจำนวนมหาศาลที่ถูกยกขึ้นมาเป็นข้อตกลงสุดท้าย แต่สำหรับคุณโอ๊ค ดีลที่ทำให้ HOKA ยอมมอบสิทธิ์การนำเข้าให้ไทย ไม่ได้จบที่เงิน แต่มันจบที่ “ใจ”.

คุณโอ๊ค HOKA เล่าว่า สิ่งที่เขาเอาไปวางบนโต๊ะไม่ใช่สัญญาว่าจะขายได้กี่คู่ แต่คือความเข้าใจใน “วิญญาณของแบรนด์” และภาพว่าแบรนด์นี้จะเชื่อมต่อกับนักวิ่งไทยได้อย่างไร เราเอา Passion ไปแลก ไม่ใช่เงิน…เงินอย่างเดียวไม่มีทางพอ สิ่งที่ชนะใจแบรนด์คือความเข้าใจและความจริงใจ 

โดยก่อนจะไปคุยกับแบรนด์ใด ๆ ทางคุณโอ๊ค และทีม Rev Edition ใช้เวลาเรียนรู้แบรนด์เหมือนนักเรียนที่ต้องสอบให้ผ่านเพื่อเข้าถึงแก่น ไม่ใช่แค่ตัวสินค้า แต่รวมถึงเราเข้าใจตลาดในไทยมากพอ เราเข้าใจประวัติศาสตร์, จุดกำเนิด, คาแรกเตอร์ และปรัชญา ของแบรนด์นั้น ๆ เวลานำเสนอ มันจึงไม่ใช่การขาย แต่เป็นการ ‘พูดด้วยภาษาเดียวกัน’ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเข้าใจลูกค้าในบ้านเราก่อน 

HOKA จาก Global อาจเข้าใจนักวิ่งอเมริกัน แต่ไม่รู้ว่านักวิ่งไทยมีพฤติกรรมแบบไหน คุณโอ๊ค และทีม Rev Edition เลยทำหน้าที่เป็น “ล่ามของตลาด” เพื่อบอกว่า นักวิ่งไทยคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร และอะไรที่จะทำให้เขาอินกับแบรนด์ นี่คือสิ่งที่เงินก้อนโตซื้อไม่ได้ แต่ “ความใส่ใจ” เท่านั้นที่พิสูจน์ได้

และที่สำคัญต้องสร้าง Trust ก่อนสร้าง Deal เสมอ คุณโอ๊คใช้วิธีไม่รีบร้อน การเจรจา HOKA ใช้เวลาหลายปี เพื่อพิสูจน์ว่าคุณโอ๊ค และทีม Rev Edition ไม่ใช่ดีลเลอร์ที่มองแค่ยอดขาย แต่คือ Partner ที่จะเดินไปด้วยกัน

สิ่งนี้ทำให้ความสัมพันธ์ไม่ได้จบแค่การเซ็นสัญญา แต่กลายเป็นการร่วมกันสร้างแบรนด์นั่นเอง

2. ศิลปะของผู้นำใจเย็น ต้องรอเวลาให้เป็น และกล้าที่จะ Rethink

ตอนที่ดีลแบรนด์มาได้ก็ว่ายากแล้ว แต่พอทำงานจริงมันจะเจออุปสรรคใหม่ ๆ อยู่เสมอ 

ลองจินตนาการว่าตอนนี้ ‘คุณกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมกับผู้บริหารและทีมจาก Global มากมาย’ ในบางครั้งการทำงานจริงทีมจากต่างประเทศเสนอไอเดียที่ไม่ตรงใจเราสักเท่าไร ขณะที่ตัวเราเองก็มีข้อมูลจากตลาดจริง ๆ ในไทยว่า สิ่งนี้อาจจะไม่เวิร์คแน่ ๆ หลายคนอาจเลือกเถียงกลับ หรือ ยืนยันเสียงแข็ง  เพื่อปกป้องไอเดียของตัวเอง แต่คุณโอ๊ค กลับ เลือกทำสิ่งที่ต่างออกไป นั่นคือ“เลือกที่จะใจเย็น และรอเวลา”

คุณโอ๊คเล่าว่า การทำงานกับแบรนด์ต่างชาติ ความเห็นที่ไม่ตรงกันเกิดขึ้นบ่อยเป็นเรื่องปกติ แต่แทนที่จะพยายาม “เอาชนะ” ทันที เขากลับเลือกถอยออกมา แล้วปล่อยให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์

“วันนี้เขาอาจยังไม่เห็นด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเจอเหตุการณ์จริง เขาอาจกลับมามองว่าแนวคิดเรามีเหตุผลก็ได้” นี่คือศิลปะการนำที่ไม่ใช่แค่การบริหารงาน แต่คือการ บริหารความสัมพันธ์ เพราะถ้ารีบเอาชนะ เราอาจชนะการถกเถียง แต่แพ้ความไว้ใจ ซึ่งสำคัญกว่าในระยะยาว

สิ่งที่น่าสนใจคือ คุณโอ๊คไม่ได้มองว่าตัวเองถูกเสมอ บางครั้ง เมื่อทีมทำงานจากต่างชาติปฏิเสธ เขาก็จะกลับมา Rethink อีกครั้งว่า “สิ่งที่เราขอไป ถูกจริงไหม?” การ Rethink ไม่ได้แปลว่าถอยหลัง แต่คือการมองใหม่ ด้วยมุมที่กว้างขึ้น บางครั้งก็พบว่า สิ่งที่เราคิดยังไม่รอบด้านจริง ๆ แต่บางครั้ง เวลาและสถานการณ์ ก็จะทำให้คู่เจรจาเองกลับมาคิดใหม่เช่นกัน

จงจำไว้ว่า “ฟังมากกว่าพูด” เวลาเจอความเห็นที่ไม่ตรงกัน อย่ารีบสวนกลับทันที แต่ตั้งใจฟังให้ครบก่อน เพราะบางทีเหตุผลที่เขาไม่เห็นด้วย อาจเปิดมุมใหม่ที่เราไม่เคยคิด

อีกเรื่องที่สำคัญคือ “แยกอีโก้ออกจากธุรกิจ” การเถียงเพื่อเอาชนะอาจทำให้เราดูเก่งในห้องประชุม แต่ทำลาย Trust ที่สะสมมาเป็นปี ๆ ผู้นำที่เก่งคือคนที่ “เลือกเงียบในเวลาที่ควรเงียบ”

และสุดท้ายคือ “ใช้เวลาเป็นเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู” หลายการตัดสินใจไม่จำเป็นต้องรีบ ถ้าสถานการณ์ยังไม่ใช่ ให้เวลากับมัน แล้วค่อยกลับมาอธิบายใหม่ในจังหวะที่เหมาะสม โอกาสในการเปลี่ยนใจจะสูงกว่าการยกเหตุผลมาสู้ทันที 

สุดท้ายแล้ว ความเห็นที่ไม่ตรงกันไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งสำคัญคือ “เราจะจัดการมันอย่างไร โดยไม่ทำลายความไว้ใจที่สร้างมา”.

3. Product ไม่ใช่แค่สินค้าบนเชลฟ์ (Shelf) แต่คือ 'ความรู้สึกของลูกค้า'

ตอนคุณโอ๊คตัดสินใจนำ HOKA เข้ามาในปี 2017 เขารู้ดีว่าคนไทยเกือบทั้งประเทศยังไม่รู้จักรองเท้าแบรนด์นี้ด้วยซ้ำ แต่เขามองเห็นบางอย่างที่ต่างออกไป เพราะคนไม่ได้ซื้อ HOKA เพราะมันคือรองเท้า แต่ซื้อเพราะมันทำให้ “รู้สึกเหมือนเป็นนักวิ่งจริง ๆ” 

รองเท้าอาจไม่ทำให้วิ่งเร็วขึ้นในทันที แต่การได้ใส่มันคือการ “ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง” คือการบอกตัวเองว่า “ฉันเป็นคนที่วิ่งได้” ดังนั้นแบรนด์จะเติบโต หรือแตกต่างได้ มันไม่ได้ขายฟีเจอร์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องขาย “ความรู้สึกที่คนอยากมี” และถ้าคุณทำให้คนเชื่อว่าแบรนด์พาเขาไปสู่เวอร์ชันที่ดีกว่าของตัวเองได้ เขาจะเลือกคุณโดยไม่ต้องมีส่วนลดใด ๆ

ลองให้จินตนาการนึกถึงคนที่เพิ่งเริ่มวิ่ง เขาไม่ได้อยากได้แค่รองเท้าคู่หนึ่ง แต่เขาอยากรู้สึกว่ารองเท้านั้นต้องคุ้มค่า ราคารองเท้าก็ไม่ได้ถูก ๆ ดังนั้น HOKA จึงไม่ได้เน้นขายฟังก์ชันที่บางครั้งก็ยากเกินที่คนเริ่มต้นวิ่งจะเข้าใจได้ แต่เน้นขายความรู้สึกการเป็น “นักวิ่งในเวอร์ชันที่ดีกว่าตัวเอง”

ในวันนี้ถ้าแบรนด์สามารถทำให้คนรู้สึก “ใกล้ขึ้น” กับความฝันของตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องถูกเลือกเพราะราคาหรือโปรโมชั่น แต่จะถูกเลือกเพราะ คุณเป็นสะพานพาเขาไปสู่สิ่งที่อยากเป็น

4. เรียนรู้ผู้บริโภค…ด้วยการลงไปอยู่ในวิถีชีวิตของนักวิ่งจริง ๆ

ในโลกธุรกิจและการตลาด คำว่า Consumer Insight มักถูกพูดถึงเหมือนเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกแบรนด์อยากได้มัน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึงได้จริง บางบริษัทเลือกใช้ Research, บางบริษัทเลือกใช้ตัวเลขสถิติ, แต่คุณโอ๊ค กลับเลือกเส้นทางที่เดินลงไปในสนามมาราธอนจริง ๆ คุณโอ๊คยอมรับว่าเขาไม่ได้เป็นนักวิ่งมาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อจะเปิดร้านวิ่งและนำเข้าแบรนด์รองเท้า เขารู้ว่าถ้าไม่ “อิน” กับชีวิตนักวิ่งจริง ๆ ก็ไม่มีวันเข้าใจพวกเขา

ดังนั้นเขาเลือก “เดิน” ในสนามมาราธอน ระยะ 42 กิโลเมตร ทั้งที่น้ำหนักตัวเกินร้อยกิโล เพื่อจะได้สัมผัสโมเมนต์ของนักวิ่งด้วยตัวเอง และทุกครั้งที่ได้เรียนรู้ ทำให้เขาค้นพบ Insight ที่มากกว่าแค่การหาตาม Internet เพราะทุกครั้งที่ลงไปวิ่ง มันไม่ใช่เพื่อทำเวลา แต่เพื่อเข้าใจความรู้สึก

5 กิโลแรก ทุกคนยังยิ้ม เสียงคุยสนุก บรรยากาศเต็มไปด้วยพลัง
20 กิโล เสียงคุยเริ่มเงียบลง เหลือแค่เสียงฝีเท้าและลมหายใจ
30 กิโลขึ้นไป คือจุดที่ร่างกายเริ่มหมดแรง หลายคนเดินก้มหน้า สู้กับความคิดว่า ‘จะไปต่อไหวไหม’ นี่คือช่วงเวลาที่กำลังใจตกฮวบ และถ้าไม่มีแรงบันดาลใจบางอย่าง นักวิ่งจำนวนมากอาจหยุดลงตรงนั้น.

Insight ที่เกิดจากเหงื่อ ไม่ใช่จากกระดาษสำคัญมาก การได้อยู่ในสนาม ทำให้คุณโอ๊คเข้าใจว่า การเลือกสินค้าหรือออกแบบประสบการณ์ของแบรนด์ HOKA ต้องสอดรับกับ “อารมณ์และความต้องการ” ของนักวิ่งในแต่ละช่วงระยะทาง

ช่วงเริ่มต้น → ต้องการความตื่นเต้นและแรงบันดาลใจ
ช่วงกลางทาง → ต้องการความสบาย ความมั่นใจในอุปกรณ์
ช่วงท้าย → ต้องการแรงซัพพอร์ตทั้งกายและใจ

นี่คือรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ไม่มีทางมองเห็นได้จากการ Research ทั่วไป แต่เกิดจากการลงไปอยู่ในวิถีชีวิตของนักวิ่งจริง ๆ เพราะ “ถ้าเราไม่เคยวิ่ง เราไม่มีวันเข้าใจนักวิ่ง”

5. ไปวิ่งมาราธอน ด้วยการไม่วิ่ง แต่ไปเพื่อเดินให้เร็วที่สุด! คุณโอ๊ค HOKA ผู้ไม่ได้ชอบความเร็ว แต่หลงใหลในความต่อเนื่อง

หนึ่งในความท้าทายของนักวิ่งทั่วโลก หนึ่งในนั้นต้องมีสนามอย่าง ‘การวิ่งมาราธอน’ ที่วิ่งด้วยระยะ 42.195 กิโลเมตร แต่ทุกคนรู้ไหมว่าในขณะที่นักวิ่งทุกคนกำลังวิ่งนั้น คุณโอ๊ค HOKA กลับไม่วิ่งเลย แต่เน้นใช้วิธี “เดินเร็ว” จากปัจจัยทางร่างกาย แต่หัวใจกลับแข็งแกร่ง 

คุณโอ๊ค HOKA เล่าต่ออีกว่า โดยพื้นฐานเขาไม่ได้ชอบการวิ่ง แต่เพราะรักในการทำธุรกิจกีฬา หากเขาไม่รู้ลึกว่าการวิ่งมาราธอนเป็นยังไง เขาจะไม่มีวันนำพา Hoka ให้เติบโตได้อย่างทุกวันนี้แน่นอน หากต้องนิยามคุณโอ๊คเมื่ออยู่ในสนามมาราธอน คำว่า “นักเดินเร็วมาราธอน” คงไม่เกินจริงเป็นแน่แท้ เพราะเขาคือคนที่เข้าใจร่างกายตัวเองอย่างลึกซึ้ง และใช้สิ่งนั้นเป็นแนวทางในการนำองค์กร แม้คุณโอ๊คจะไม่ได้หลงใหลในความเร็ว แต่เขาหลงใหล "ความต่อเนื่อง" มากกว่าในการซ้อมเดินมาราธอน 

คุณโอ๊คยังบอกอีกว่า ทุกครั้งที่ไปวิ่งมาราธอน เขาจะไม่หยุดเดินเลย เพราะการเดินเขาก็ช้ากว่าคนอื่นแล้ว ดังนั้นความต่อเนื่องสำคัญ และอีกเรื่องที่เขาจะโฟกัสมาก ๆ นั่นคือ ‘เพซ (Pace)’ หรือ เวลาที่นักวิ่งใช้ในการวิ่งต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร เพื่อช่วยให้นักวิ่งประเมินความสามารถของตนเองได้ ตัวอย่างที่คุณโอ๊คเคยวิ่งจริง คือ ต่อ 1 กิโล เดินเร็วสุดที่ 7:45 - 8 Pace ถ้าเรารู้ว่าสนามนั้นมีเวลา 7 ชม. แสดงว่าเราต้องห้ามต่ำกว่า Pace 8 ไม่งั้นจะไม่ทัน ถ้าวิ่งเร็วไม่ได้ ต้องอย่าช้า อย่าหยุด และต้อง Make sure ว่าเวลาเดินต้องมีสมาธิในการเดินตลอดเวลา อย่าแบบดูวิวจนเพลินหรือเสียสมาธิเด็ดขาด มันเป็นการแข่งกับจิตใจตัวเองด้วย

อย่าถูกจำกัดเพียงเพราะรู้ว่าเป็นข้อจำกัด แต่ต้องจัดการมันได้

คุณโอ๊ค HOKA ไม่ได้พยายามเอาชนะคนที่วิ่งเร็วกว่า แต่เขารู้ว่า ตัวเองเดินได้เร็วแค่ไหน และเขาเลือกจะคุมเกมตัวเองอย่างมีวินัย บางครั้งการเป็นผู้นำ ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเร็วกว่าคนอื่น แต่หมายถึงคุณต้อง เข้าใจจุดแข็ง, จุดอ่อน, จังหวะ และขีดจำกัดของตัวเอง ให้ลึกที่สุด 

ในวันที่โลกธุรกิจเปลี่ยนเร็วและแรง หลายคนถูกดูดเข้าสู่ความเร่งรีบโดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังวิ่งไปทางไหน ในขณะที่คุณโอ๊คเลือกจะเดินเร็ว แต่ไม่หยุด

“ถ้าคุณรู้ว่า Pace ไหนที่ตัวเองไปได้ไกลที่สุด จงรักษา Pace นั้นไว้ และอย่าหยุดแม้แต่วินาทีเดียว”
💡
เราไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร แต่ขอให้ภูมิใจในทุกก้าวที่เดิน
เราไม่ต้องเป็นเบอร์หนึ่ง แต่ขอให้พัฒนาขึ้นทุกวัน
เราไม่ต้องโชว์ว่าเร็วกว่าคนอื่น แต่ต้องเดินเร็วอย่างมีวินัย
ทุกการใช้ชีวิตและการทำงาน จงรู้จัก “จังหวะของตัวเอง” และ “ไม่หยุด” ที่จะพัฒนามันต่อไป

สัมภาษณ์ เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ

trending trending sports recipe

Share on

Tags