เมื่อ “คนตัวเล็ก” มีหัวคิดธุรกิจ ที่เลือกใช้ Creativity + Storytelling นำทาง จนสามารถพาแบรนด์เล็ก ๆ เข้าไปอยู่ในใจผู้คนกลางลานใหญ่หน้า centralwOrld ได้จริง
ถ้าเราเชื่อว่า “คนตัวเล็ก” ไม่มีทางได้ยืนอยู่ใจกลางลานใหญ่อย่าง centralwOrld เรื่องนี้จะเป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่ทำให้เราทุกคนต้องทบทวนใหม่ เพราะคนตัวเล็กก็ทำเรื่องที่อิมแพคได้
หลายครั้งด้วยกัน คนทำธุรกิจ ต้องคิดแต่เรื่องเงิน, ยอดขาย, กำไร เพียงอย่างเดียว เรื่องราวต่อจากนี้จะพาเราไปเห็นว่ามันยังมี “การลงทุนอีกรูปแบบหนึ่ง” ที่ไม่ได้วัดด้วยตัวเลข แต่วัดด้วย “คุณค่าที่มีร่วมกันระหว่างแบรนด์และลูกค้า” มันคือหัวใจของผู้คนที่เราอยากขอบคุณเขาจากใจจริง
ใครบางคนเคยบอกว่า “การเล่าเรื่องเก่ง” เป็นพรสวรรค์ของบางคนเท่านั้น เรื่องนี้จะชวนให้คุณเห็นว่า ความเป็น Storyteller จริง ๆ แล้วเกิดจากการสังเกต ฝึกฝน และกล้ารู้สึกอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กที่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า ‘ตัวเองเหมาะจะอยู่ตรงไหนของสังคม’

นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจไม่น้อยของ อูน - ชนิสรา วงศ์ดีประสิทธิ์ Owner & CEO of Brunchtime Co., Ltd. นักเล่าเรื่องสร้างสรรค์ที่เชื่อในพลังของ Storytelling มากพอที่จะเปลี่ยนงานออกบูธครั้งแรกในชีวิต กับบ้าน Stitch มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท ในงาน Disney The Magical Stars 2026 ซึ่งเป็นการร่วมมือครั้งสำคัญกับ centralwOrld, เดอะ วอลท์ ดิสนีย์ (ประเทศไทย) และ Hong Kong Disneyland
อยากชวนให้ทุกคนใช้เวลาตรงนี้สักนิด เพราะต่อจากนี้ เราจะดำดิ่งไปในเรื่องราว และข้อคิดมากมายเกี่ยวกับคำว่า Creativity และ Storytelling ที่ไม่ได้มีไว้แค่สร้างนวัตกรรมเปลี่ยนโลก แต่เป็นวิธีคิดที่เราทุกคนสามารถหยิบมาใช้ได้จริงในชีวิตการทำงานและชีวิตประจำวัน
จากแบรนด์เล็ก ๆ Home to my heart สู่บ้าน Stitch ที่ไม่ได้เล็กอีกต่อไป กับ 6 ข้อคิดมหัศจรรย์ของนักสร้างสรรค์ด้วยวิธีคิดของคนที่ “ใส่ใจในทุกรายละเอียด”
1. คนตัวเล็กก็สร้าง “โอกาสใหญ่” ได้ ถ้าเราทำงานดีพอให้ ‘ผลงาน’ พูดแทนเราได้ โอกาสจะเดินเข้ามาเอง
คน Creative จำนวนไม่น้อยมักติดอยู่ในกรอบของเวลา, งบ และต้นทุน แต่สิ่งที่คุณอูนทำให้เห็นคือ ถ้ายังไงเราก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว งั้นเหนื่อยให้คุ้ม ถ้าเรามีเงิน เราก็จะทุ่ม แต่ถ้าเรามีงบจำกัด เราก็จะใช้มันให้เกินข้อจำกัด เพราะตัวเงินไม่ได้สำคัญ เท่ากับสิ่งที่เราอยากสื่อสารให้ผู้คนได้รับรู้ ด้วยการทำมันให้เป็น ‘คำขอบคุณ’ ที่ชัดที่สุดเท่าที่เราทำได้ให้กับลูกค้าที่น่ารักของเราอย่างแท้จริง
คุณอูนพูดประโยคหนึ่งไว้น่าสนใจมากว่า “ข้อเสียของคนที่เป็นคน Creative คือราคามันสูงจริง ๆ ทั้งเรื่องเวลา ทั้งวิธีทำงาน ทั้งเงื่อนไขในชีวิต” แน่นอนว่าในช่วงเริ่มต้น เรามักไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามี “ของดีติดตัว” แค่ไหน เพราะทุกอย่างถูกจำกัดด้วย งบประมาณ, เวลา และเงื่อนไขชีวิตจริงที่บอกเราว่าเอาเท่านี้ก็พอ
“แต่เมื่อวันนึงเราทำงานหนักพอ รันโปรเจกต์มากพอ ส่งมอบงานที่ใส่ใจจริงพอ และ เมื่อผลงานสะสมมากพอ และเป็น “ของจริง” โชว์ให้โลกได้เป็นที่ประจักษ์ โอกาสจึงค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างน่าอัศจรรย์”
จากการเป็นแบรนด์เสื้อผ้าเล็ก ๆ → มี Licensing ทำงานร่วมกับ Disney จริง ๆ
จากการเป็นเด็กที่รักดิสนีย์ → กลายเป็นคนทำบ้าน Stitch กลางลาน centralwOrld ได้จับมือร่วมงานกับ The Walt Disney (ประเทศไทย) และ Hong Kong Disneyland

จงจำไว้ว่า อย่าเพิ่งตัดสินค่าตัวเองจาก ‘ข้อจำกัดวันนี้’ สิ่งที่เราคุมได้มีอย่างเดียวคือ ความตั้งใจ และ คุณภาพของงานที่ส่งออกไป งานที่มีหัวใจอยู่ข้างใน วันหนึ่งมันจะกลายเป็น Portfolio ชิ้นใหญ่ ที่ดึงโอกาสที่เกินฝัน เข้ามาเอง
ดังนั้นอย่าเพิ่งตัดสินค่าตัวเองจาก ‘ข้อจำกัดวันนี้’ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้จริงคือ ความตั้งใจและคุณภาพของงานที่เราส่งออกไป แล้วลองเปลี่ยนมันเป็นการทุ่มเทให้เกินขีดจำกัดแทนแม้ราคาของ Creative จะแพง ทั้งเวลาและพลังงาน แต่ถ้าเรายอมจ่ายราคานั้นด้วยความทุ่มเทจริง ๆ วันหนึ่ง คุณก็อาจได้ทำโปรเจกต์ในฝันของตัวเอง เหมือนที่คุณอูนได้ทำกับ Disney เช่นกัน
2. มองโปรเจกต์ให้เป็น ‘จดหมายขอบคุณ’ ไม่ใช่แค่บูธขายของ แล้วธุรกิจจะมีหัวใจทันที
ใครจะไปคิดว่าแบรนด์เล็ก ๆ อย่าง Home to my hearts ถ้าเทียบกับโลโก้ใหญ่ ๆ บนลาน centralwOrld และนี่คือความรู้สึกจริงของเจ้าของแบรนด์ คุณอูนมักบอกกับตัวเองเสมอว่า
“เราไม่รู้เลยว่า เราทำดีพอหรือยัง ให้คนรู้สึกภูมิใจ ที่ได้แปะโลโก้เราไว้บนตัวให้โลโก้นั้นสื่อถึง ‘ความสุข’ ของเขาได้จริง ๆ”
ประโยคนี้สำคัญมาก เพราะมันทำให้ “งานออกบูธครั้งแรก” ของ Home to my hearts ไม่ได้เป็นแค่ซุ้มขายของ แต่กลายเป็น “พื้นที่ขอบคุณลูกค้าแบบสุดหัวใจ” นี่เป็นหนึ่งในวิธีคิดสำคัญของคุณอูน ซึ่งมาจากเนื้อแท้ที่เป็นคนละเอียดมาก มักจะสังเกตรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่รีรอที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้
“ไหน ๆ ก็ได้โอกาสนี้แล้ว เราจะไม่สร้างกรอบจำกัดตัวเอง ไม่เริ่มจากข้อจำกัด แต่จะเริ่มจากคำว่า ‘ทำให้ดีที่สุด”

โดยโอกาสทำบ้าน Stitch ครั้งนี้ คุณอูนไม่ได้มองว่าเป็นงานออกบูธธรรมดา แต่นี่คือจดหมายขอบคุณฉบับใหญ่ที่สุดที่เขียนให้ลูกค้าทุกคน ดังนั้น บ้าน Stitch หลังนี้ จึงไม่ใช่แค่ “ดีไซน์น่ารัก” แต่ในรายละเอียดของบ้านหลังนี้ทุกจุด จะซ่อนดีเทลสำคัญ ๆ เพื่อตอบคำถามว่า
- เราจะทำให้คนที่เข้ามารู้สึกอะไร ?
- เขาจะเดินผ่านไปเฉย ๆ หรือหยุด “เพื่อรู้สึกบางอย่าง” ด้วย
- ความตั้งใจของเราจะส่งไปถึงหัวใจของเขาได้แค่ไหน ?
ในฐานะเจ้าของแบรนด์ Home to my hearts คุณอูนถามตัวเองว่า
- คนที่หยิบเสื้อของเราไปใส่ เขารู้สึกภูมิใจแค่ไหน?
- โลโก้เล็ก ๆ ที่แปะบนเสื้อ มันสื่อ “ความสุขของเขา” ได้ดีพอหรือยัง?
- เราทำดีพอหรือยังกับความไว้ใจตรงนั้น?
พอคิดแบบนี้ งานทั้งงานเลยไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อแค่ยอดขาย หรือ แค่ traffic ในบูธ แน่นอนสิ่งนี้สำคัญ แต่มันไม่ใช่ Core หลักของสิ่งที่อยากจะสื่อสาร ดังนั้นมันเลยถูกออกแบบเพื่อให้คน “รู้สึกดีขึ้นกับตัวเอง” หลังเดินออกจากบ้าน Stitch ให้คนรู้สึกว่า ‘เราในฐานะมนุษย์คนนึง มีค่าจริง ๆ’
บทเรียนที่สองนี้ กำลังจะบอกทุกคนว่า ถ้าเรามองลูกค้าเป็น ตัวเลข เราจะออกแบบแต่ ‘กลยุทธ์’ แต่ถ้าเรามองลูกค้าเป็น มนุษย์ เราจะออกแบบ ‘ประสบการณ์’ ดังนั้นทุกโปรเจกต์ที่เราได้ทำ สามารถเป็นจดหมายขอบคุณให้ใครบางคนเสมอ ยิ่งเราใส่ความเป็นมนุษย์ และความจริงใจลงไปในงานมากขึ้นเท่าไร งานนั้นก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น
3. เล่าเรื่องให้ดีต้องเริ่มจาก “ให้ Story นำทาง” เสมอ
จุดต่างที่ชัดเจนของคุณอูนในฐานะ Storyteller คือเราไม่ได้เริ่มจากคำว่า ‘บูธควรมีอะไรบ้าง’ แต่เริ่มจากคำว่า “เรื่องราวของ Stitch ในบ้านหลังนี้ คืออะไร ?” ถ้าพูดถึง Stitch ภาพในหัวหลายคนคือเอเลี่ยนน่ารัก ขี้เล่น เป็นเจ้าตัวแสบประจำเรื่อง แต่ในมุมของคนที่รักเรื่องนี้จริง ๆ Lilo & Stitch เป็นหนึ่งในเรื่องที่มี Layer ซับซ้อนมาก
เพราะ Stitch คือคาแรกเตอร์ที่ถูกทอดทิ้งเป็น ‘เด็กกำพร้า’ ของจักรวาล พยายามหาที่ของตัวเองบนโลกมนุษย์ ฉากหนึ่งที่ทำให้คนดูไม่น้อยจำร้องไห้ คือ ตอน Stitch หนีออกจากบ้าน ไปอยู่ในป่า แล้วอุ้มหนังสือ ‘ลูกเป็ดขี้เหร่’ เอาไว้ ภาพนั้นไม่ได้เศร้าเพราะมี Stitch นั่งอ่านหนังสือ แต่เศร้าเพราะหลายคน ‘เห็นตัวเองในนั้น’
🥹 เคยไหม พยายามฝืนใจตามหาตัวตน แต่ก็กลับไม่เจอสักที ?
🥹 เคยไหม ที่ชอบวัดค่าตัวเอง จากการให้คนอื่นมายอมรับในตัวเรา ?
🥹 เคยไหม ต้องเหนื่อยเพราะถูกหลอก ถูกทรยศ ถูกเข้าใจผิด ?
🥹 เคยไหม รู้สึกว่าตัวเองคือ “ลูกเป็ดขี้เหร่” ในสายตาของคนอื่น ?
จากจุดนี้แหละคือการค้นพบ Experience Design ชิ้นสำคัญ ที่คุณอูนถามตัวเองว่า
“ในเมื่อเรามีเวลามากมายกับลูกค้าที่จะเดินเข้ามาในบ้านหลังนี้ ทำไมเราไม่พยายามออกแบบ ‘ปลายทาง’ ให้มันชื่นใจกว่าเดิม ?”

เลยกลายเป็นจุดตั้งต้นของไอเดียว่า คราวนี้ Stitch จะไม่หนีเข้าไปในป่าที่เงียบเหงาอย่างเดียว แต่จะ…ออกไปเจอเพื่อน เจอเพื่อนในโลกจินตนาการ เหมือนเพื่อนในหัวของเราในวันที่ไม่มีใครเข้าใจ เพื่อนตอนเหงาคนที่ ‘อยู่ตรงนั้นให้เรายามเจอวันที่หนักเกินรับมือ’ ที่พึ่งทางใจที่กดดูซ้ำกี่รอบก็ได้ นี่คือจุดที่ Storytelling ไม่ได้เป็นแค่โครงเรื่อง แต่มันเป็นสะพานเชื่อมระหว่างความรู้สึกของคนดู กับโลกของดิสนีย์
บทสรุปก้อนนี้ ทุกครั้งก่อนเริ่มคิดคอนเทนต์/ดีไซน์/ทำแคมเปญ ลองตั้งคำถามก่อนว่า ‘เรื่องที่เราอยากเล่า คืออะไร?’ เมื่อ Story ชัด โครงสร้าง, ดีไซน์, ฟอร์แมต, KPI จะต่อได้ง่ายขึ้น และไม่หลงทาง คนจะจำเราได้ เพราะ ‘เรื่องราว’ ที่เราพาเขาเดินทาง ไม่ใช่เพราะดีไซน์สวยอย่างเดียว
4. รายละเอียดเล็ก ๆ คือภาษาอีกแบบของความรัก และเป็นอาวุธสำคัญของนักเล่าเรื่องที่มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative + Storyteller)
เวลาพูดถึง Creative ที่มี Storyteller หลายคนมักคิดถึงคนเขียนหนังสือ, คนทำคอนเทนต์ หรือคนทำหนัง แต่เอาเข้าจริงจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น อย่างในโปรเจกต์บ้าน Stitch คุณอูนใช้วิธีคิดแบบ Storyteller กับทุกอย่าง ตั้งแต่ออกแบบภายนอก ไปจนถึงการออกแบบภายใน
เริ่มจาก ‘เรื่องเล่า’ ไม่ใช่จาก Structure บูธ
คุณอูนไม่ได้เริ่มต้นจากคำว่า ‘บูธเราควรมีจุดเช็กอิน 1 จุด หรือ โซนขายของ 1 จุด’ แต่เริ่มจาก Story ว่า
“Stitch กำลังจะหนีออกจากบ้าน… เขาหนีออกไปทางไหน? ผ่านอะไร? ไปเจอใคร? แล้วปลายทาง เขาควรรู้สึกยังไง?”
แล้วค่อยออกแบบ ทางเดิน / ห้อง / มูฟเมนต์ / เอฟเฟกต์ เพื่อให้รองรับกับ ‘เส้นเรื่อง’ ตรงนี้ทีละขั้น จาก 1 ไป 2 ไป 3 ไป 4 ไม่ใช่จาก 1 กระโดดไป 10 แล้วหวังว่าคนดูจะ “ซึ้งกับเรื่องราวเอง”
คิดให้เป็น ‘ภาพ’ ก่อนเป็น โครงสร้าง
คุณอูนเล่าว่า เวลาออกแบบ จะคิดเป็นภาพก่อนเสมอ ตัวอย่างเช่น
ภาพที่ Stitch กำลังก้าวขาออกจากหน้าต่าง
ภาพของใครบางคนที่เดินอ่านจดหมายจนถึงห้องสุดท้าย
ภาพของคนมองกระจกแล้วเผลอยิ้มให้ตัวเอง
พอมี ‘ภาพชัด’ ทุกฝ่ายจะคุยกันง่ายขึ้น ทีมงานจะมองเห็นจุดเดียวกัน และ Story ก็จะไม่หลุดไปจากสิ่งที่ตั้งใจแต่แรก นี่คือสกิลที่คนทำงานทุกคนใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายครีเอทีฟ, ฝ่ายมาร์เก็ตติ้ง หรือแม้แต่ HR
“ก่อนจะเริ่มทำอะไร ลองถามตัวเองว่า ภาพสุดท้ายที่เราอยากให้คนเห็นคืออะไร แล้วถอยย้อนกลับมาหา Step 1 ไป 2 ไป 3 เพื่อไปสู่ปลายทาง”

ดีเทลเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยการเล่าเรื่อง
หากใครได้เห็นบ้าน Stitch แล้ว ลองสังเกตจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ดูสิ
ดอกชบาที่หลังคา เนื่องจากบ้าน Stitch อยู่ในฮาวาย เป็นเมืองร้อน ต่อให้เป็นธีมคริสต์มาส ก็ไม่ใส่หิมะมั่ว ๆ ได้ คุณอูนเลยเลือกใช้ดอกชบา แทนสัญลักษณ์ของ “Lei” หรือจิตวิญญาณแห่ง Aloha ที่คนฮาวายใช้แทนความรัก, มิตรภาพ และการเคารพกันและกัน
Easter egg ภายในบ้านที่มีทั้ง คุณ Walter Elias Disney และ คุณ Roy Oliver Disney สองพี่น้องผู้สร้างสรรค์อาณาจักรดิสนีย์ขึ้นมา หรือแม้กระทั่งรถไฟที่แล่นผ่านไปมา ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณวอลต์รักอย่างมาก
หนังสือลูกเป็ดขี้เหร่ หนึ่งในซิกเนเจอร์ของเรื่องเล่านี้ แต่ด้วยความที่คุณอูนไม่สามารถผลิตหนังสือเล่มโต ๆ ให้ทุกคนที่ซื้อของได้ แต่ยังอยากส่งต่อความหมายของฉากนั้นอยู่ เลยออกแบบเป็น ซองใส่สติกเกอร์ ที่ด้านหลังมีจดหมายจากคุณอูน ให้ทุกคนพก “ซองลูกเป็ดขี้เหร่” กลับบ้านในรูปแบบที่เบา ตัวเล็ก แต่หนักอึ้งด้วยความหมายที่มีคุณค่า
หรือแม้กระทั่งสินค้าของ Home to my hearts ทุกซองเสื้อของ Home to my hearts มีตัวเลขที่ไม่ซ้ำกัน เพราะทุกตัวผ่านการ QC ที่รู้เลยว่าใครตรวจ เพราะคนที่ตรวจคือคุณอูนตรวจทุกชิ้นจริง ๆ มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่เจ้าของแบรนด์ไม่เคยบอกใคร แต่ทำเพราะอยากให้เสื้อตัวนั้นเป็นของ “คุณคนเดียวจริง ๆ”
“ดีเทลแบบนี้แหละที่เปลี่ยนสินค้า ให้กลายเป็น เรื่องราว และเปลี่ยนโลโก้บนเสื้อ ให้กลายเป็น ความภูมิใจเบา ๆ ที่ใส่แล้วรู้สึกใจฟู”
รายละเอียดเล็ก ๆ เหล่านี้ อาจไม่ใช่ทุกคนที่สังเกตเห็น แต่เพราะการที่ทุกคนไม่เห็นนี่แหละมันถึงพิเศษ เพราะเมื่อวันนึงเขารู้ มันไม่ใช่แค่การสร้าง Brand Love เท่านั้น แต่มันจะเกิด Trust ร่วมกัน
บทสรุปในข้อนี้คือ
“คน Creative ที่เก่ง ‘ไม่ได้เก่งแค่ คิดใหญ่’ แต่คนเก่งจริง คือคนที่ ‘ผูกดีเทลเล็ก ๆ ให้มีความหมาย’ ”
Storyteller ที่ดีไม่ได้เล่าแต่เรื่องใหญ่ แต่รู้ว่าบางที ความทรงจำที่คนเก็บกลับบ้าน มักเกิดจากรายละเอียดเล็ก ๆ เหล่านี้เสมอ สำหรับคนทำงาน คุณอาจเริ่มง่าย ๆ จากการถามว่า ในงานชิ้นนี้ เราจะซ่อนดีเทลเล็ก ๆ อะไรให้คนที่อินเป็นพิเศษค้นพบได้บ้าง ?
5. ผู้นำสาย Creative ต้องเคลียร์ ต้องชัดเจนมาก ๆ และตั้งใจดีจริง ไม่งั้นทีมจะเหนื่อยฟรี
อีกหนึ่งจุดบอดของคนสร้างสรรค์ บางครั้งไอเดียเต็มหัว คิดไม่สุด พอทำจริงก็เปลี่ยนบ่อย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา การทำงานกับคนหมู่มาก หรือการทำงานกับคนที่มืออาชีพจริง ๆ ถ้าเราเป็นคนไม่เด็ดขาดพอ ไม่มีใครอยากทำงานร่วมกับเราแน่นอน
ตัวอย่างโปรเจกต์นี้ที่ทางคุณอูนทำ ไม่ได้มีแค่ทีมของ Home to my hearts แต่ยังมีทีมระดับประเทศ และระดับโลกด้วย นั่นคือ centralwOrld, Disney Thailand และ Hong Kong Disneyland ไหนจะทีมออแกไนซ์ที่สร้างบ้าน Stitch อีก แน่นอนว่าเบื้องหลังคือการประชุมแล้วประชุมเล่า ปรับแล้วปรับอีก คุณอูนยอมรับตรง ๆ ว่า
“การทำงานครั้งนี้ฟังดูสวยหรู แต่ข้างในมันเดือด!มาก เราถกกันเดือดได้ แต่ต้องยิ้มให้กันได้ และทุกคนต้องรู้ว่า Goal ของเรามัน Healthy”
ดังนั้นสิ่งที่ช่วยให้ทุกอย่างยังเดินไปข้างหน้าได้คือ 2 เรื่องนี้
‘ต้นทางต้องชัด’ ไม่งั้นอย่าหวัง ‘ปลายทางจะใช่’
- อยากให้คนเดินออกไปแล้วรู้สึกอะไร → ต้องชัดตั้งแต่ต้น
- อยากได้บ้านสีเขียวโทนไหน → ต้องชัด ไม่ใช่มาเปลี่ยนเป็นสีอื่นในระหว่างทาง
- ถ้าตั้งใจจะทำให้การเดินทางครั้งนี้คือ “คำขอบคุณ” ปลายทางต้องไม่กลายเป็นแค่บูธขายของสวย ๆ
ส่วนอะไรที่ยากจนเกินไป คุณอูนจะลงมือทำเอง เช่น TVC ที่ฉายบนจอ centralwOrld ก็ทำเอง เพราะเวลาและภาพในหัวมันชัดมาก เราลงมือเองจะเสร็จเร็วกว่า โดยไม่ไปรบกวนน้อง ๆ ในทีม เพราะลำพังตัวน้อง ๆ ในทีมก็ยุ่งมากพออยู่แล้วกับการเตรียมงานครั้งนี้ และอีกส่วนที่สำคัญคือการสื่อสารที่ชัดเจน สิ่งไหนเปลี่ยนได้ สิ่งไหนเปลี่ยนไม่ได้ ต้องบอกให้ทีมรู้ตรง ๆ
ถ้าต้นทางไม่เคลียร์ ปลายทางก็ไม่มีทางตรงกับที่หวัง ผู้นำสาย Creative จึงต้องกล้าฟันธงในบางเรื่อง และกล้าลงมือเอง เมื่อเราเป็น ‘หัวใจของงาน’ อย่าง TVC ที่คุณอูนทำเอง เพราะรู้ชัดที่สุดว่าต้องการอะไร
ทุกการสื่อสาร ต้องมีเจตนาที่ดี สื่อสารออกไปให้ได้จริง
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ คุณอูนเคยได้คุยกับผู้บริหารดิสนีย์มาก่อนในฐานะคนที่ทำ Licensing กับดิสนีย์ เลยพอเข้าใจ “กึ๋นการเล่าเรื่องของดิสนีย์” รู้ว่าความคิดแบบไหน เขาให้คุณค่าอย่างไร แต่กับทีม centralwOrld ที่ไม่เคยทำงานด้วย คุณอูนเลือกไม่ใช้แค่สไลด์พรีเซนต์ในการนำเสนอ แต่คุณอูนเชิญทีมงาน centralwOrld มาที่บ้าน นั่งคุยท่ามกลางบรรยากาศดิสนีย์ 4 ชั่วโมงเต็ม เพื่อให้เขา ‘รู้สึก’ ถึงความตั้งใจจริงว่า
“เราไม่ได้มาทำบูธเพื่อขายของ แต่เราอยากทำพื้นที่ที่ใกล้ความเป็น Disneyland ที่สุดเท่าที่แฟนดิสนีย์คนหนึ่งจะทำได้”
นี่คือการใช้ Storytelling แบบมีชีวิต ในการโน้มน้าวใจคน ไม่ใช่ด้วยกราฟยอดขาย แต่ด้วยบรรยากาศ, เรื่องเล่า และความตั้งใจที่ทุกคนสัมผัสได้ หลังจากที่ทางทีม centralwOrld ได้รับฟัง ก็เปิดใจแล้วกลับไปทำการบ้านกันอย่างหนัก จนเนรมิตรสิ่งที่ใช่ที่สุด ที่ครั้งนึงโลกเคยเกิดขึ้น ประเทศไทยถือกำเนิด Disneyland ขนาดย่อม ที่สมจริงเกินจะประเมินมูลค่าได้ อย่างที่แฟน ๆ ทั่วประเทศให้การตอบรับ และชื่นชมอย่างมากมายนั่นเอง
“สำหรับคนทำงานหรือคนที่ต้องนำทีม ความ Creative จะมีพลัง ก็ต่อเมื่อมันถูกห่อด้วยความชัดเจน และเจตนาดี ทีมจะยอมเหนื่อยไปกับเรา ก็ต่อเมื่อเขาเชื่อว่า เป้าหมายปลายทางมันสวยงามจริง ไม่ใช่แค่เหนื่อยเพื่อ Vanity Metric หรือความสวยงามชั่วคราว”

6. ถ้าอยากเป็น Creative หรือ Storyteller ที่คนอยากฟัง ต้องกล้าลอง, กล้าทำ, และไม่ลดคุณค่าตัวเอง
หาพื้นที่เล็ก ๆ ของเราให้เจอ แล้วเล่าเรื่องให้เต็มที่ ความน่าสนใจคือคุณอูนไม่ได้เล่าอะไรซับซ้อน แต่กลับเรียบง่ายด้วยความจริงใจ
“อยากเป็นนักสร้างสรรค์ อยากเป็นนักเล่าเรื่อง อย่าหยุดอยู่กับที่ เดี๋ยวธรรมชาติจะบอกเราเองว่า ที่ไหนคือพื้นที่ของเรา แค่ต้องอย่าลดคุณค่าของตัวเอง”
ข้อสุดท้ายนี้มันมีความหมายมากนะ ไม่สิ! ต้องบอกว่าทุก ๆ ข้อที่ได้เขียนให้กับคนอ่านทุกคนได้อ่านกัน ถ้าให้เลือกสิ่งที่จะปิดท้ายนี้พลังงานที่ปล่อยมาจากคุณอูน มันถูกถ่ายทอดไว้หมดแล้วว่า…..
❤️🔥 อย่าหยุดอยู่กับที่
❤️🔥 อย่ารอสูตรสำเร็จ
❤️🔥 อย่ารอให้ใครมาบอกว่าเราต้องพร้อมตอนไหน
❤️🔥 ออกไปลอง ต้องยอมผ่านทั้งความสนุกและความไม่สนุก
❤️🔥 เอาตัวเองออกไปลองเสมอ — ลองคิด, ลองทำ, ลองเล่า, ลองล้ม
บางที พื้นที่นั้นอาจจะไม่ใช่ลานหน้า centralwOrld อาจไม่ใช่บ้าน Stitch หรือโปรเจกต์ระดับโลก แต่อยากให้ลองเริ่มจากเล็ก ๆ ซึ่งมันอาจจะเป็น
💙 ช่องเล็ก ๆ ใน YouTube, TikTok, IG ที่เราลองทำเล่น
💙 เพจเล็ก ๆ ที่มีคนกดไลก์ไม่ถึงพัน
💙 หรือบริษัทที่เราทำงานอยู่ทุกวัน ที่รอให้มีใครสักคน ลุกขึ้นมาเล่าเรื่องให้คนเข้าใจกันมากขึ้น
ถ้าคุณรักดิสนีย์ ถ้าคุณรักการเล่าเรื่อง ถ้าคุณเชื่อในดีเทลเล็ก ๆ ยินดีด้วยนะ คุณมี “ของที่มีค่า” อยู่ในตัวอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องเริ่มกล้าเล่า, เริ่มสังเกต, เริ่มให้ความตั้งใจดี ๆ ไหลออกมาผ่านงานของคุณ
“ตราบใดที่เราไม่ลดคุณค่าตัวเอง และฟังหัวใจตัวเองให้ดีว่า ที่ไหนที่เรารู้สึก “สบายและสนุกไปพร้อมกัน”
แล้ววันหนึ่ง…โอกาสแบบที่คุณไม่คิด ไม่ฝัน อาจเดินมาหาคุณ เหมือนที่วันหนึ่ง เด็กผู้หญิงที่ชื่อ อูน - ชนิสรา วงศ์ดีประสิทธิ์ ที่รักดิสนีย์ ได้มี “บ้าน Stitch” เป็นของตัวเองกลางลานที่คนทั้งเมืองเดินผ่าน พร้อมข้อความขอบคุณที่กลั่นออกมาจากหัวใจจริง ๆ
“จงใช้ Creativity กับ Storytelling ไม่ใช่เพื่อ ‘ทำให้คนว้าวอย่างเดียว’ แต่ใช้มันเพื่อ ทำให้ผู้คนรู้สึกดีขึ้นกับตัวเองแม้จะเพียงเล็กน้อยก็น่ายินดีมากแล้ว”
ถ้าเราทำได้แบบนั้น ไม่ว่าพื้นที่ของเราจะเล็กแค่ไหน มันก็จะกลายเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ในใจใครบางคน เหมือนที่บ้าน Stitch กลางลาน centralwOrld กลายเป็นพื้นที่พิเศษในหัวใจของแฟนดิสนีย์หลาย ๆ คนในวันนี้
สัมภาษณ์ เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ
ภาพประกอบ: อลิสา อรุณสิริเลิศ
ถ่ายภาพ: ธัญวรัตน์ ปกรณ์รัศมี