เจาะ 4 บทเรียนการทำงานโฆษณาในแบบของเต๋อ นวพล ผ่านมุมมองโฆษณาน้ำหอมแบรนด์ MITH

บทความนี้เราจะพามาดูกับวิธีคิดกันว่า เต๋อ นวพล ว่าทำได้ยังไงให้โฆษณาความยาวไม่ต่ำกว่าหนึ่งนาที แถมแปลกแหวกแนวโฆษณาน้ำหอมสุด ๆ แมสจนเป็นที่พูดถึงทั่วโซเชียล

Last updated on ต.ค. 16, 2025

Posted on ต.ค. 15, 2025

“ถ้าเกิดเราฉีดน้ำหอมนี้แล้วทำให้เรามี Scene ได้มันก็ต้องเป็นใครก็ได้สิวะ” 

คำกล่าวจากผู้กำกับโฆษณาสุดไวรัล ณ ขณะนี้ อย่าง ‘เต๋อ นวพล’ ให้แนวคิดแรกเริ่มของไอเดียของโฆษณา MITH สุดฮิตที่แมสในชั่วข้ามคืน ในบทความนี้เราจะพามาดูกับวิธีคิดกันว่า เต๋อ นวพล ว่าทำได้ยังไงให้โฆษณาความยาวไม่ต่ำกว่าหนึ่งนาที แถมแปลกแหวกแนวโฆษณาน้ำหอมสุด ๆ แมสจนเป็นที่พูดถึงทั่วโซเชียล!


📽️ ไอเดียสุดธรรมดา แต่คว้าใจผู้ชมตั้งแต่ครั้งแรกที่ดู

โฆษณาจาก MITH มอบความรู้สึกแปลกใหม่ ไม่ใช้สูตรสำเร็จเดิม ๆ  แต่ทำให้คนจดจำได้ด้วย การใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นคนธรรมดา, การเล่าเรื่องที่ค่อย ๆ ไต่ระดับเรื่องให้น่าติดตาม รวมถึงคนแสดงในโฆษณาที่รับรองว่า หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว

แต่ก่อนจะกลายมาเป็นผลงานโฆษณาสุดเจ๋งที่ใครก็ชอบ ดูซ้ำหลายครั้งนี้ จริง ๆ แล้วจุดเริ่มต้นของโฆษณานี้มาจาก ทาง Wolf BKK เสนอไอเดีย ‘Scent ที่ทำให้ทุกคนมี Scene’ ให้คุณเต๋อ นวพล ซึ่งตัวของคุณเต๋อมองว่าน่าสนใจ จึงรับคอนเซปต์คร่าว ๆ ของไอเดียมาพัฒนาต่อ ซึ่งเมื่อเสนอออกมาเป็นบทโฆษณาแบบที่เห็น ซึ่งทุก ๆ ฝ่ายก็เห็นด้วย จึงนำมาสู่โฆษณาแบบที่ทุกคนเห็นกันในวันนี้ 


📽️ ครั้งแรกของผู้กำกับ ที่ต้องเป็นคนถูกกำกับ

เรื่องที่น่าสนใจอีกหนึ่งเรื่อง คือการที่ผู้กำกับอย่าง ‘เต๋อ นวพล’ รับเล่นในผลงานของตัวเองครั้งแรก แบบที่ใคร ๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน คุณเต๋อเล่าว่า ในโฆษณาเรื่องนี้ มีไอเดียหลักคือการนำคนทั่วไปมาเป็นพรีเซนเตอร์เพื่อให้ตรงกับคอนเซปต์ ดังนั้นคนดูต้องรู้สึกว่าคนในเรื่องนี้เป็นคนในกองจริง ๆ ไม่ได้เป็นนักแสดงที่มาแสดงอีกที เมื่อทาง Wolf BKK มาเสนอให้ทั้งลูกค้าอย่างคุณพอ จาก MITH และคุณเต๋อเล่นเอง ทั้งคู่จึงใช้เวลาคิดสักพัก

ตามโพสต์ที่เขียนว่าหายไปนาน กว่าจะตัดสินใจรับเล่น จริง ๆ แล้ว คุณเต๋อแอบแชร์ให้ฟังว่า เป็นเรื่องของความไม่แน่ใจ ส่วนหนึ่งคือกลัวว่าหากเล่นเอง จะทำให้การทำงานอาจจะติดขัดไม่ไหลลื่น อีกส่วนหนึ่งก็คือกลัวว่าเล่นเองออกมาแล้วจะเวิร์กหรือไม่ เพราะไม่เคยทั้งกำกับและเล่นเองมาก่อน ซึ่งในฐานะผู้กำกับแล้ว การทำงานทั้งสองบทบาทในงานเดียว อาจทำให้ต้องสลับมุมมองระหว่างนักแสดงกับผู้กำกับในการทำงาน เลยมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยแน่ใจ 

แต่เมื่อเห็นความยาวของโฆษณาชิ้นนี้ที่ไม่ยาวมากเลยคิดว่าน่าลองทำ จึงตัดสินใจตอบ Wolf BKK ไปว่า “ลองดูก็ได้ครับ” แต่ถึงอย่างนั้นคุณเต๋อก็มีข้อแม้ “ถ้าลูกค้าเข้าแล้ว ผมเข้าแล้ว พวกพี่ก็ต้องเข้าด้วยนะครับ ห้ามหนี” เลยออกมาเป็นการแสดงครั้งแรกของเต๋อ นวพล อย่างที่เห็น


📽️ บรรยากาศกองถ่าย ที่เรียบง่าย และเสร็จเร็ว 

การถ่ายทำแบบ ‘กองซ้อนกอง’ ปกติแล้วเป็นงานยาก แต่ไม่ใช่กับโฆษณาชิ้นนี้ 

โฆษณางานนี้ เป็นการถ่ายทำที่ง่ายและเสร็จเร็ว เนื่องจากทีมงานในกองส่วนใหญ่ที่เคยทำงานร่วมกันมาแล้ว มีความรู้ใจกันประมาณหนึ่ง เลยทำให้ Scene ที่ถ่ายคนในกองเอง ไม่ยากมาก เพราะทุกคนจะรู้ว่าต้องการอะไร ทำแบบไหน ยังไง โดยที่ไม่ต้อง Brief มากมาย ซึ่งคุณเต๋อมองว่าเป็นเรื่องในความโชคดี เพราะเมื่อได้ทีมงานที่เข้าขากัน ก็จะช่วยให้การถ่ายทำ Flow ได้มากขึ้นในการแต่ละ Shot โดยภาพรวมของงานก็ออกมาอย่างสบาย ๆ และได้ผลงานที่ต้องการกันทุกฝ่าย

ส่วน Scene ที่มีคุณเต๋อ ต้องหาวิธีการทำงานที่จะสามารถสลับบทบาทระหว่างนักแสดงและผู้กำกับให้ได้ วิธีการก็คือ เปิดมอนิเตอร์ดูตัวเองตอนเล่นจริง เช่น ฉากที่ต้องดูจอมอนิเตอร์กับคุณใบเฟิร์น คุณเต๋อก็จะเห็นฟุตเทจตัวเองตอนเล่นจริงเลย ซึ่งมีประโยชน์มาก เพราะนอกจากสามารถช่วยให้รู้ว่าตัวเองควรเล่นแบบไหนแล้ว ยังสามารถช่วยให้มองงานทั้งสายตาผู้กำกับและนักแสดงไปพร้อมกันได้ด้วยเช่นกัน 

จาก Status ที่โพสต์เอาไว้ว่า อยากร่วมงานกับนักแสดงสาวมากฝีมืออย่าง ‘ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก’ มานานแล้ว เมื่อโคจรมาเจอกันในงานโฆษณาครั้งนี้ คุณเต๋อเล่าขำ ๆ ว่า ตอนแรกที่รู้ว่าคุณใบเฟิร์น พิมพ์ชนกร่วมงานในครั้งนี้ด้วย ก็มีความคิดที่ว่า “นี่คือโอกาสสินะ ต้องทำแล้วล่ะ!” เลยได้ทำงานร่วมกันสักที หลังจากที่รอคอยมานานถึง 10 ปี 

แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็รู้ว่างานของอีกฝ่ายเป็นยังไง ซึ่งในส่วนของการนัดคิวพูดคุยเรื่องการถ่ายทำ ทั้งสองคนพยายามหาคิวที่ว่างตรงกันเพื่อมานัดพูดคุย เลยทำให้การทำงานร่วมกันง่ายขึ้น ถึงแม้ในครั้งแรกที่ร่วมงานก็ต้องเข้า Scene ด้วยกันเลยก็ตาม แต่คุณเต๋อก็บอกว่ามันประสบการณ์ที่ดีที่ได้ทำ 


📽️ โฆษณาที่ไม่ตามสูตร แต่โดนใจ เพราะคนไทย ‘คิดถึงแนวนี้’

เมื่อโฆษณาชิ้นนี้ถูกปล่อยออกมาก็ได้รับคำชมมากมายหลายรูปแบบ แต่อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจคือ มีคอนเมนต์ส่วนใหญ่ที่บอกว่า ‘คิดถึงโฆษณาแนวนี้ ไม่ได้เห็นมานานแล้ว’ ในมุมของคุณเต๋อเองมองว่า การทำโฆษณาในครั้งนี้ก็ไม่ได้มอง Landscape ของวงการโฆษณาเลย ว่าใครทำอะไรอยู่ เพียงแต่แค่คดไปถึงคอนเซปต์ของโฆษณาที่ว่า ‘Scent ที่ทำให้ทุกคนมี Scene’ เท่านั้นเอง

คุณเต๋อยังเสริมต่อว่า “รู้สึกว่าไอเดียนี้มันสนุกดี สำหรับเรา ก็เลยลองดู” และยังเสริมอีกว่า “เราคิดแค่ว่า เราได้คิดมุมมองหรือสิ่งใหม่ ๆ ให้กับตัวโฆษณาแล้ว” ซึ่งตั้งแต่ช่วง Pre-production ไปจนถึง Post-production ทั้งแบรนด์ MITH, Wolf BKK รวมถึงตัวคุณเต๋อเองก็ไม่ได้มีความคิดว่าผลงานชิ้นนี้จะได้ผลตอบรับดีขนาดนี้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายสำหรับแบรนด์ MITH, Wolf BKK และคุณเต๋อด้วยเช่นกัน นอกจากนี้จากผลตอบรับสามารถ Proof ได้ว่าเป็นผลงานที่มาจาก ‘การตั้งใจทำเพื่อให้งานออกมาดี’ ซึ่งในวันนี้ โฆษณาของ MITH ในช่องทาง Youtube ก็มียอดวิวกว่า 45,000 วิวแล้ว

หากใครยังไม่ได้ดูโฆษณาตัวเต็มสามารถดูได้ที่


4 บทเรียนการทำงานโฆษณาในแบบของเต๋อ นวพล 

🎯 1. โจทย์เดิมแต่ต้องเสริมเรื่องให้แตกต่าง ด้วยการตีความและการใช้เวลากับมัน 

ส่วนใหญ่ Theme หรือ Message จาก Product ก็อาจจะมีความคล้าย ๆ เดิม แต่ต้องหาวิธีที่สร้างสิ่งใหม่ให้ได้ แม้จะอยู่ในโจทย์แบบเดิม 

อย่างในกรณีของโฆษณาแบรนด์น้ำหอม MITH ทางคุณเต๋อเองก็ลองมองว่า ‘Scent ที่ทำให้ทุกคนมี Scene’ มันมีอะไรบ้าง และเป็นไปทางไหนได้บ้าง โดยการค่อย ๆ ใช้เวลาตีความเรื่องราวของมัน 

หรือมองหามุมใหม่ ๆ ด้วยการที่เราอยากเห็นอะไร แล้วยังไม่มีคนเคยทำก็ลองเอามุมนั้นมานำเสนอ อย่าง ‘Scent ที่ทำให้ทุกคนมี Scene’ เมื่อมีไอเดียว่า ‘ทุกคน’ คือใครก็ได้ แสดงว่าถ้าเกิดเราฉีดน้ำหอมนี้แล้วทำให้เรามี Scene ได้มันก็ต้องเป็นใครก็ได้สิ เพราะคนที่ฉีดน้ำแล้วดูดีก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นพรีเซนเตอร์ที่หน้าตาดีเสมอไป แต่อาจเป็นคนที่ฉีดน้ำหอมแล้วทำให้มีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นขึ้นมา โดยเป็นมุมในชีวิตประจำวันที่เราจะต้องเคยเจอ เช่น การเจอเพื่อนที่แต่งตัวดีแล้วรู้สึกว่ามีคาแรคเตอร์ขึ้นมา หรือคนทั่วไปก็มีมุมที่ดูดีได้เท่เมื่อฉีดน้ำหอมกลิ่นดี ๆ ซึ่งคุณเต๋อก็มองว่า มุมนี้ในวงการโฆษณาน้ำหอมยังไม่ค่อยมีใครทำเท่าไหร่ จึงเลือกนำเสนอมุมมองนี้ และผลลัพธ์ก็กลายเป็นที่ถูกใจคนดูมากมาย 

แต่ส่วนหนึ่งทางลูกค้าและเอเจนซี่เองก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่จะอนุญาตให้มุมใหม่ ๆ ออกมาใช้หรือไม่ เพราะบางครั้งการทำโฆษณาของลูกค้าบางคนอาจจะอยากได้ความแน่นอน แต่เมื่ออยากได้ความแน่นอนสุดท้ายโฆษณาก็จะกลับไปทำในสิ่งที่เคยมีอยู่แล้ว ส่วนตัวคุณเต๋อมองว่า ในยุคนี้ต้องกล้าเสี่ยง ถ้าได้ผลตอบรับดีก็อาจจะดีไปเลย แต่ถ้าไม่ดีอย่างน้อยก็แตกต่างจากคนอื่น 

🎯 2. เราถนัดอะไร ก็ทำสิ่งนั้นไปให้สุดทาง เพราะงานทุกแบบ จะมีทางสำเร็จของตัวเอง

บางทีเราอาจจะต้องพบเจอกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวที่คนสนใจ เช่น แนว TikTok กำลังมา เราต้องหันไปทำแบบนั้นหรือเปล่า ต้องทำคลิปสั้น ๆ หรือเปล่า สำหรับคุณเต๋อแชร์ว่า การทำแบบนั้นไม่ใช่ทางของเราเท่าไหร่ ไม่ค่อยถนัด ก็เลยทำแบบที่เราถนัดไปเรื่อย ๆ ซึ่งอย่างในโฆษณา MITH ชิ้นนี้ ความยาวของวิดีโอก็ไม่ได้สั้น และไม่ได้ฮุกตั้งแต่ 5 วิแรก เป็นการค่อย ๆ เล่าเรื่องให้คนติดตาม แต่ก็ยังมีคนที่ชื่นชอบได้ 

ซึ่งตัวคุณเต๋อเองมีความคิดที่ว่า งานทุกแบบมันมีหนทางความสำเร็จของมัน เพียงแต่ต้องค่อย ๆ ทำมันไปเรื่อย ๆ และอย่าหวั่นไหวกับสิ่งเร้า เมื่อเรารู้ว่าเราถนัดอะไร ก็จงเอาเวลาที่เรามีไปพัฒนาสิ่งนั้นให้มันดีที่สุดในแบบของเราเอง 

🎯 3. เมื่อสำเร็จแล้วก็อย่าหยุดพัฒนา เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือการอยู่ต่อในระยะยาว

หลาย ๆ คนในยุคนี้อาจเป็นหนึ่งในคนที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจกว่าการสำเร็จที่ได้มานั้น คือการอยู่ต่อในระยะยาวยังไงให้รอดต่อไปได้เรื่อย ๆ 

ในเรื่องนี้เอง คุณเต๋อได้แนะนำว่า วันหนึ่งที่คุณประสบความสำเร็จ นั่นหมายความว่าคุณจะขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของเพดาน ที่มันก็จะกลายเป็นความธรรดา แต่สิ่งสำคัญคือ อย่ากลัวความธรรมดาเหล่านั้น อย่ามองว่านั่นคือทางตันของคุณ แต่คุณต้องพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ ในเส้นทางที่คุณรัก ต้องหาโจทย์ใหม่ ๆ กับตัวเอง เช่น ถ้าเราทำแบบนี้สำเร็จแล้ว เราอยากลองทำแบบอื่นดูไหม แบบไหนที่อยากลองทำบ้าง 

ต้องกล้าที่จะลองอะไรใหม่ ๆ กล้าที่จะ Fail บ้าง เพราะบางคนก็กลัวการลองอะไรใหม่ ๆ กลัวความ Fail ยิ่งถ้าคุณประสบความสำเร็จแล้ว แปลว่าคุณยังมีพื้นที่และเวลาในการลองสิ่งอื่นอีกมากมาย แต่สุดท้ายในการลองทำอะไรบางอย่าง สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญก็ยังคงเป็นตัวงาน อย่าไปโฟกัสเรื่องความโด่งดัง ยอดไลก์ หรือสิ่งรอบข้างต่าง ๆ ที่จะทำให้รู้สึก Fail ได้ง่าย เพราะมันขึ้นลงอยู่ตลอด 

วิธีคิดของคุณเต๋อมีอยู่ว่า จะทำยังไงให้สิ่งที่เราถนัด มันสามารถเป็นงานที่เกิดต่อไปอย่างต่อเนื่องได้เรื่อย ๆ ไม่ว่าโลกเทรนด์มันจะเป็นยังไงก็ตาม สิ่งที่แนะนำคือ หาทางถนัดของตัวเอง และต้องยึดมั่นไว้ว่า เราถนัดสิ่งนี้ และเชื่อว่าจะทำให้มันดีได้ เพราะคุณเต๋อเชื่อว่า “ถ้าเราทำในสิ่งที่ถนัด จน Solid มาก ๆ เราจะไปต่อได้ในระยะยาว”

อีกเรื่องที่น่าสนใจที่คุณเต๋อแชร์ คือ คนส่วนใหญ่เวลาเห็นผลงานของคุณเต๋อ ก็จะชอบบอกว่า ‘นี่คือลายเซ็นของเต๋อ นวพล’ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงสิ่งที่คนอื่นบอก แต่จริง ๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่าความชอบและความสนใจ เช่น ชอบการถ่ายแบบนี้ ไม่ชอบการเคลื่อนกล้องแบบนั้น ชอบสีแบบนี้ ทั้งหมดทั้งมวลมาจากความชอบ  เพราะหากมัวแต่โฟกัสในการใส่ลายเซ็นในผลงานมากไป กลายเป็นว่าเราจะไม่โฟกัสในตัวงานที่เราทำ

🎯 4. อยากทำโฆษณาร่วมกันให้แฮปปี้ ต้องเริ่มที่ ‘ความเข้าใจ’ 

การจะทำโฆษณาร่วมกัน ทั้งลูกค้า, เอเจนซี่ และผู้กำกับให้ออกมาดี หรือสำเร็จได้ สิ่งสำคัญคือ ต้อง ‘มีความรู้ เข้าใจโจทย์ของตัวเอง’ ทั้งสามฝั่ง

มุมของลูกค้า สิ่งที่ลูกค้าต้องรู้ก่อนจะทำงานโฆษณา คือ Product ของเขาหรือโฆษณาที่เค้าอยากเห็นจะเป็นแนวไหน เช่น เคร่งขรึมหรือไม่ หรือเป็นสายฮา แล้วถ้าเป็นสายฮาแล้วต้องฮาขนาดไหน ดังนั้นต้องชัดเจนก่อนว่าคาแรคเตอร์ของเขาเป็นแบบไหน แล้วต่อจากนั้นก็จะเป็นหน้าที่ของเอเจนซี่ที่เป็นที่ปรึกษาที่จะดำเนินการต่อ 

มุมของเอเจนซี่ เมื่อรู้ความต้องการของลูกค้าแล้ว เอเจนซี่ก็จะต้องไปหาคนที่จะ Match ได้กับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เช่น ลูกค้าต้องการแบบตลก ก็จะต้องลงลึกให้ชัดว่าตลกเบอร์ไหน ถ้ามีความตลกอยู่ 1-10 รูปแบบ ลูกค้าต้องการแบบไหน หากลูกค้าเลือกเบอร์ได้แล้ว เอเจนซี่ก็ต้องหาต่อว่า แล้วในเบอร์นั้นมีใครทำได้บ้าง ผู้กำกับคนไหน ซึ่งก็จะทำให้หาคนที่ถูกและตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ 

มุมของผู้กำกับ ต้องรู้ว่าตัวเองทำงานแบบไหนได้บ้าง และแบบไหนที่ทำไม่ได้ อย่าฝืนทำในสิ่งที่ไม่ถนัด เพราะผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะไม่ส่งผลดีกับลูกค้า


พอทั้งสามฝั่งมีแนวทางไปในทางเดียวกัน อย่าง ลูกค้ามีสิ่งที่ต้องการชัดเจน, เอเจนซี่หาคนที่ถูก, ผู้กำกับเข้ากับลูกค้าได้ เวลาทำงาน เมื่อผู้กำกับคิดไอเดียอะไรให้ก็อาจจะมีบ้างในเรื่องของการแก้ไขปรับเปลี่ยน แต่จะไม่มีการรื้องานชิ้นนั้นทิ้งทั้งหมด หรือเห็นงานชิ้นอื่นแล้วอยากทำตาม เพราะทั้งสามทางอย่างลูกค้า, เอเจนซี่, ผู้กำกับเองต้องมั่นใจในโจทย์ของตัวเอง รู้ว่าเรากำลังจะทำอะไรอยู่ และเชื่อว่างานทุกรูปแบบมันมีทางสำเร็จของตัวเอง 

เมื่อคนมาเห็นงานของคุณเต๋อแล้วบอกว่า ต้องตลกแบบนี้ ถึงจะเวิร์กเหรอ? คุณเต๋อก็จะตอบกลับว่า ไม่จริง คุณสามารถทำหนังที่ไม่ตลกเลยแล้วอาจจะเวิร์กสุด ๆ หรืออาจจะดราม่าสุด ๆ จนเวิร์กสุด ๆ ก็ได้เช่นกัน ขอให้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดและเหมาะกับตัวสินค้าที่ทำอยู่ก็พอ  

💡
คำแนะนำทิ้งท้ายจากการทำงานของคุณเต๋อ นวพล คือ บางคนอาจจะมีคนที่ชื่นชอบ ซึ่งสุดท้ายแล้วเราก็ไม่สามารถเป็นคน ๆ นั้นได้ แต่สิ่งที่เราเอาจากเขามาใช้ได้คือ วิธีคิด เทคนิคต่าง ๆ ของเขา แต่สิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือ การเอาวิธีคิดพวกนั้นมาพัฒนาต่อในแบบที่เป็นเรา เพราะงานที่ออกมาก็จะเป็นงานของเราเอง

เรียบเรียง: ธัญวรัตน์ ปกรณ์รัศมี

trending trending sports recipe

Share on

Tags