ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้มองหาความคุ้มค่าเสมอไป แต่กลับมองหาความสบายใจที่ไม่ทำให้เหนื่อย และมีเวลาใช้ชีวิตมากขึ้น พาไปรู้จักกับโมเดลธุรกิจแห่งอนาคต เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น กับเซสชัน Less Effort Marketing ธุรกิจอนาคตเพื่อให้มนุษย์ใช้แรงน้อยลง ด้วย Robot และ Automation โดยคุณผรินทร์ สงฆ์ประชา CEO บริษัท นาสเก็ต รีเทล จำกัด จากงาน Thailand Marketing Day 2025
คุณผรินทร์ (Nasket) เล่าว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้ว Nasket มีแนวคิดว่า ‘Smart home will become next major app platform’ นั่นทำให้ Nasket พยายามจะเป็นบริษัทรายแรก ๆ ของประเทศไทยที่ทำ Super App ที่รวมทุกอย่างใน App เดียว เพื่อให้ลูกค้าใช้งานง่ายและจบในที่เดียว ผ่าน Technology ที่ Nasket พัฒนาให้ลูกค้าในคอนโดได้เชื่อมต่อกับภายนอกได้ ไม่ว่าจะเป็นเป็นการจ่ายบิลออนไลน์, การสั่งของแล้วจัดส่งภายใน 2 วัน, บริการเรียกคนซักผ้า และบริการติดต่อช่างตัดผมให้มาตัดได้
แต่การมาของ COVID-19 ทำให้หลายอย่างปิดตัว และตอนนั้น Nasket ได้รู้ว่าจริง ๆ แล้ว ลูกค้าไม่ได้ต้องการ ‘More Features’ ลูกค้าต้องการ ‘Less Friction’ Nasket จึงเริ่มทำธุรกิจ ‘ตู้น้องแพค’ Locker เก็บน้ำแพ็กเคลื่อนที่ ที่ตั้งอยู่ในล็อบบี้คอนโดต่าง ๆ กว่า 1,200 สาขา เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ไม่อยากเดินไกล, ไม่อยากเสียเวลารอ Delivery ในขณะเดียวกันก็นำระบบ Automation เข้ามาช่วยในการทำให้คนออกแรงน้อยลง ซึ่งปี 2024 ที่ผ่านมาก็ขายน้ำไปได้ 10 ล้านขวด โดยที่ไม่ต้องลงมือแตะขวดน้ำเองแม้แต่ขวดเดียว และนั่นทำให้ Nasket เริ่มต้นโมเดลธุรกิจที่ชื่อว่า ‘Less Effort Marketing’
ถ้าอยากให้ธุรกิจเติบโตในยุคนี้ ต้องออกแบบให้ลูกค้า ‘เหนื่อยน้อยที่สุด’
‘Less Effort Marketing’ เป็นโมเดลธุรกิจที่สำคัญมากในยุคนี้ เพราะปัจจุบันโลกกำลังเข้าสู่ยุค ‘อ่อนแรงแต่ต้องเร่งความเร็ว (The Age of Tired Acceleration)’ ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เป็นเพราะภาระที่เพิ่มขึ้นทั้งที่เวลายังเท่าเดิม ลูกค้าจึงอยากเติมความสบายในการใช้ชีวิตด้วยการยอมเหนื่อยน้อยลง แต่ได้ผลดีกว่า แปลว่าลูกค้าสามารถจ่ายมากขึ้นถ้าทำให้ไม่เหนื่อย ซึ่งเมื่อได้แล้วลูกค้าจะอยากได้มันมากขึ้นอีก จนกลายมาเป็นสูตรการเติบโตของธุรกิจในยุคนี้ คือ
Low Effort ➡️ High Frequency ➡️ High Lifetime Value
คุณผรินทร์ (Nasket) กล่าวว่า อีกหนึ่งปัญหาของประเทศไทยคือ เราทุกคนรู้ตัวว่าจะต้องแก่ แต่ยิ่งไปกว่านั้นตอนเราแก่ เราจะจนด้วย จากผลสำรวจพบว่า มีคนไทยจำนวนกว่า 3 ล้านคนไม่มีแรงเดิน เนื่องจากมีกล้ามเนื้อที่น้อย และอีกกว่า 2 แสนคนที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง จึงเปิดตัวอีกหนึ่ง Product ที่เรียกว่า ‘ชุดเสริมแรงขา (Leg Booster)’ เพื่อช่วยให้การออกกำลังกายง่ายขึ้น และลดความพยายามในด้านความคิด (Cognitive Effort) เพราะมี Soft Guide เป็นภาษาไทยอยู่รอบตัวของสินค้า และบริการที่พร้อมอำนวยความสะดวก เช่น ถ้าสินค้ามีปัญหาจะมีรถมารับที่หน้าบ้าน โดยไม่ต้องออกไปหาที่ซ่อมเอง ซึ่งก็เป็นหนึ่งในโมเดล Less Effort Marketing เช่นเดียวกัน
5 ความขี้เกียจของลูกค้า ที่ทำให้รู้ว่าทำไมถึงไม่กดซื้อ
1. Physical Effort ขี้เกียจใช้แรง เช่น ต้องเดิน, ต้องยก, ต้องแบก, ต้องขยันเยอะ, ต้องทำอะไรซ้ำ ๆ ลูกค้าจะเกลียด
2. Cognitive Effort ขี้เกียจเลือก ขี้เกียจคิด เช่น เลือกยาก, เลือกเยอะ, ต้องเปรียบเทียบ, ขั้นตอนซ้ำซ้อน
3. Emotional Effort ความกังวลว่าจะซื้อพลาด เช่น การที่ลูกค้าถามว่า ‘อะไรขายดี’ เพื่อไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกพลาดในการเลือกของชิ้นนั้น ๆ
4. Time Effort ขี้เกียจในเรื่องเวลา ไม่อยากเสียเวลา เช่น ขี้เกียจรอ, ขี้เกียจเข้าคิว, ขี้เกียจดาวน์โหลด, ขี้เกียจสมัครสมาชิก, ขี้เกียจเดินไกล
5. Financial Effort ขี้เกียจคิดเรื่องเงิน เช่น เปรียบเทียบราคา, กลัวเจอของถูกกว่า, ไม่รู้จะเลือกอะไรดี
5 ความขี้เกียจนี้คือตัวชี้ว่า หากยังทำธุรกิจที่มอบความเหนื่อยมากมายเหล่านี้ ก็มีแนวโน้มมากว่าลูกค้าจะไม่ซื้อ
สรุปแล้ว Less Effort Marketing ไม่ใช่การ Simplify เพื่อให้ดูง่าย แต่ต้องง่ายจริง ๆ สินค้าหลายตัวอาจต้องการใส่ฟีเจอร์เพื่อให้สินค้าออกมาคุ้มค่าสมราคาที่สุด จนบางครั้งกลายเป็นสร้างความเหนื่อยให้แก่ลูกค้า เพราะฉะนั้นต้องหาความพอดีของทั้งตัวสินค้าและการใช้งานของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าใช้งานได้ง่ายและกลับมาใช้งานอีก
ทั้งหมดนี้คือ สรุปจากเซสชัน Less Effort Marketing ธุรกิจอนาคตเพื่อให้มนุษย์ใช้แรงน้อยลง ด้วย Robot และ Automation โดยคุณผรินทร์ สงฆ์ประชา CEO บริษัท นาสเก็ต รีเทล จำกัด จากงาน Thailand Marketing Day 2025