4 วิธีเรียกสติ โดยไม่ต้องนั่งสมาธิ

Last updated on ก.ย. 4, 2019

Posted on ก.ย. 4, 2019

พอเวลาเราเจอหลายเรื่องที่เข้ามาจนบางครั้งก็ต้องนั่งพิงหลังตั้งสติ แต่บางทีเมื่อทำงานในออฟฟิศ จะบอกให้ทุกคนหยุดแล้วขอนั่งสมาธิก่อนก็คงไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีในช่วงเวลาที่เรารู้สึกวุ่นหวายยุ่งเหยิงมาก อยากได้จังหวะที่โฟกัส แต่ถ้าตอนนั้นสถานการณ์และสถานที่ไม่เอื้อต่อการนั่งสมาธิ จะมีวิธีใดได้บ้างที่จะเรียกสติโดยไม่ต้องนั่งสมาธิ ลองมาดูกัน

1. ทำสมาธิโดยการสร้างมโนภาพ

ทำสมาธิโดยการสร้างมโนภาพหรือจินตนาการภาพเหตุการณ์ที่คุณเคยไปแล้วคุณรู้สึกสงบ หากคุณอยากทราบเรื่องนี้มากขึ้น ลองค้นคำ Guided Meditation ตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ล่าสุดที่รู้สึกว่าตัวเองสงบนิ่งมากคือตอนไป Outing กับออฟฟิศที่เขื่อนเชี่ยวหลาน เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำของหลาย ๆ คนในบริษัท RGB72 คือเราไม่ได้ใช้โทรศัพท์เลย เป็นการ detox โดยแท้จริง เพราะตรงนั้นไม่มีสัญญาณ มีเฉพาะบางเครือข่ายช่วงเวลาสั้น ๆ จึงกลายเป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองเยอะมาก ช่วงที่ชอบมากคือตอนที่ได้ใส่เสื้อชูชีพลงไปลอยน้ำในเขื่อน ลอยตัวเหมือนปลาดาว หูจุ่มอยู่อยู่ในน้ำ กอดอกมองดูดาวบนท้องฟ้า เป็นช่วงเวลาที่นิ่งและเงียบมาก เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงน้ำ

ดังนั้น เวลาที่วุ่นวายยุ่งเหยิงทุกครั้ง ให้ลองเรียกสมาธิด้วยการสร้างมโนภาพ สร้างจินตนาการตามสถานที่ที่คุณรู้สึกสงบนิ่ง แล้วคุณล่ะคะนึกถึงภาพไหนกัน?

2. สร้างสมาธิด้วยการสวดมนต์หรือท่องคำ

(หากใครสนใจลองค้นคำว่า Mantra Meditation ดูค่ะ) คำถามคือ แล้วจะท่องอย่างไรกลางออฟฟิศคนอื่นจะไม่ตกใจเหรอ จริง ๆ แล้วบทสวดมนต์เป็นทางเลือกหากอยู่ในสถานที่ที่พอจะสวดมนต์ออกมาได้ เวลาสวดมนต์จะทำให้เราได้ยินเสียงตัวเอง เพราะเราต้องเปล่งออกมา ที่สำคัญคุณจะมีความจดจ่อมากขึ้น เมื่อใดก็ตามที่คุณอยู่นิ่ง ๆ แล้วใช้วิธีคิดอยู่ในใจ หากคุณสมองฟุ้งซ่านจริง ๆ มันฟุ้งซ่านอยู่ได้เสมอ คุณบังคับตัวเองไม่ได้

กลับมาที่คำถามว่าอยู่กลางออฟฟิศ จะสวดมนต์ได้อย่างไร? การสวดมนต์คือการเปล่งเสียงออกมา หากขณะนั้นคุณไม่อยากเปล่งเสียงเป็นการสวดมนต์ ให้คุณร้องเพลงออกมาแทน ไม่ว่าช่วงนั้นคุณชอบเพลงอะไร ร้องเพลงนั้น แล้วอย่าคิดเรื่องอื่น นี่คือวิธีการทำสมาธิแบบหนึ่งคือการร้องเพลง หลักการคือทำให้คุณจดจ่อกับการเปล่งเสียง แล้วได้ยินสิ่งที่คุณพูดออกมา

3. ฝึกสติ 

การฝึกสติหรือการเจริญสติ (Mind Fulness Meditation) หลักการคือ อยู่กับปัจจุบันขณะนั้นให้ได้มากที่สุด ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่คิดเรื่องอื่น การเจริญสติหากเป็นในทางพุทธศาสนาอยากให้นึกถึงการเดินจงกรมหรือการอานาปานสติ (การกำหนดลมหายใจเข้าออก) แค่คุณตั้งใจอยู่กับตัวเองว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ แต่หากสังเกตตัวเองไม่ได้ ก็ให้อยู่กับปัจจุบันของคนอื่น สังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ณ ตอนนั้น ว่าใครทำอะไร เช่น คนนั้นใส่หมวกสีดำ แต่อย่าไปคิดว่าเมื่อเช้าเขาเลือกเสื้ออะไรมา หรือจะเป็นการลุกไปทำอะไรสักอย่าง เช่น ชงกาแฟ ทำอาหาร ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้เราจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่พะวงไปกับอนาคต ไม่หมกมุ่นอยู่กับอดีต อยู่กับปัจจุบัน นั่นคือเคล็ดลับของการเจริญสติ

4. การฝึกสติโดยการเคลื่อนไหว

การฝึกสติโดยการเคลื่อนไหว เช่น โยคะ ให้กำหนดลมหายใจกำกับเข้าไปด้วยกับการเคลื่อนไหว ตรงนี้จะซับซ้อนข้อที่ผ่านมา แต่เป็นการบังคับการเคลื่อนไหวของตัวเราเองด้วย ตามจังหวะของการทำอาสนะหรือการก้มต่าง ๆ

แล้วจะลุกขึ้นทำโยคะกลางออฟฟิศได้เหรอ? แน่นอนว่าไม่ไดั แต่คุณสามารถทำตามได้ที่โต๊ะ เป็นการออกกำลังกายเบา ๆ เช่น ยกขวดน้ำขึ้นมา ยกขาขึ้นจากพื้นเป็นแนวระนาบ หลักการคือต้องเอาใจจดจ่อกับการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวที่คุณตั้งใจยกท่านั้นขึ้นลง นี่คือการทำสมาธิโดยการเคลื่อนไหวบังคับตัวเองให้ทำอะไรบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก และอยู่กับปัจจุบันตรงนั้น เพื่อเป็นการทำสมาธิโดยเฉพาะ จะคล้าย ๆ ไทเก็ก ชี่กง หรือการออกกำลังกายทั่วไปก็ใช่เช่นกัน การที่คุณออกไปวิ่ง นั่นคือคุณลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวร่างกายโดยความตั้งใจของตัวคุณเอง ถือเป็นการทำสมาธิโดยการเคลื่อนไหว 

ถ้าคุณวุ่นวายใจมากจริง ๆ หรือว่าอยู่ในสถานที่ที่ไม่สามารถหลับตาเลือกตรงนั้นได้ลองเลือก 4 วิธีน่าสนใจนี้เผื่อว่าจะลองนำไปใช้งานแล้วเจอวิธีที่น่าสนใจกว่านี้สามารถส่งมาได้ที่ Facebook Creative Talk Live หรือ Creativetalklive.com 

ภาพประกอบบทความจาก NordWood Themes, Unsplash

ถอดความจาก: The Organice Podcast โดยคุณโจ้ ฉวีวรรณ คงโชคสมัย
ฟัง EP. นี้แบบเต็ม ๆ ได้ที่: SOUNDCLOUD, Spotify, PodBean

บทความอื่นที่คุณอาจสนใจ

trending trending sports recipe

Share on

Tags