งานล้น แต่ขาดความชัดเจน หรือ ไอเดียตัน แม้จะเสพคอนเทนต์ทั้งวัน ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่ว่าเราไม่เก่ง แต่จริงแล้ว เราไม่มีเวลา “ได้คิดอย่างตั้งใจ” มากพอต่างหาก
ยินดีกับทุกคนด้วย ที่ก้าวเข้ามาสู่ช่วงสิ้นปีกันแล้ว เชื่อว่าหลายคนผ่านงานหิน งานโหดกันมามาก และแน่นอนว่าในหลาย ๆ ครั้งการทำงานเรามักจะเจอ PainPoint ที่อาจจะทั้งแก้ได้ หรือแก้ไม่ได้ เช่น
- ไอเดียตัน แม้จะเสพคอนเทนต์ทั้งวัน
- งานล้นไม่ไหว ทำเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ไม่แน่ใจว่าอะไรสำคัญจริง ผลงานไม่พุ่งตามแรงที่ลงไป
- ความผิดพลาดเดิม ๆ กลับมาเรื่อย เพราะไม่เคยได้ ‘ทบทวนบทเรียน’ อย่างจริงจัง
- มี movement แต่ไม่มี direction เพราะทีมไม่มีพื้นที่คิด-สะท้อน-ปรับทิศร่วมกัน
- แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่ง แต่ไม่ค่อยมีเวลาถอยออกมาคิดเชิงกรอบ/กลยุทธ์ ทำให้เจอปัญหาซ้ำ ๆ
ถ้าเจอปัญหาเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาละก็ ลองใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘The three pillars of the one-hour rule’ หรือ กฎหนึ่งชั่วโมงซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธลับในการเติบโตของนักธุรกิจระดับโลก โดยแบ่งเวลา 1 ชม. (ตัดการรบกวนรอบตัว) แบบไม่ถูกรบกวน มีเวลาได้ปรับวิธีคิด, วิธีใช้ชีวิต, ทบทวนเรียนรู้ โดยต้องอาศัยวินัยอย่างมากในการทำอย่างสม่ำเสมอ แต่ใช้เวลาเพียงแค่วันละ 1 ชม.
แต่สิ่งที่ทำให้กฎนี้ดียิ่งขึ้น คือการผสมผสาน Think week เข้าไปซึ่งเป็นหนึ่งในเทคนิคที่ บิล เกตส์ (Bill Gates) หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ผู้บุกเบิกวงการคอมพิวเตอร์ใช้มันอยู่เสมอ โดยในปี 1990 เขาได้ใช้เทคนิค think week ในการถอยออกมาทบทวน โดยใช้เวลา 7 วันอยู่ตามลำพังในกระท่อมกลางป่า เพื่อ “ทบทวน-คิด-เขียนถึงอนาคต” ซึ่งความสามารถในการเปลี่ยนเวลาว่างให้เป็นการคิดเชิงลึกและเรียนรู้ กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ บิล เกตส์ (Bill Gates) ประสบการความสำเร็จ
คีย์สำคัญของเทคนิคนี้ที่ บิล เกตส์ (Bill Gates) เน้นย้ำคือ “Consistency beats intensity” คือการทำสิ่งสำคัญให้ได้ทุกวัน/ทุกสัปดาห์อย่างต่อเนื่อง แม้ทีละน้อย ยังดีกว่าเร่งฮาร์ดโหมดหนัก ๆ แป๊บเดียวแล้วหยุด มันเหมือนกับการอ่านหนังสือเดือนละ 1 เล่ม ถ้าคุณทำได้ 12 เดือน ก็ 12 เล่ม คุณจะได้มุมมองใหม่ กรอบความคิดใหม่ ๆ ถึง 12 รูปแบบนั่นเอง
หยุดพูดกับตัวเองว่า “ไม่มีเวลาทำหรอก” แต่ลองเปลี่ยนเป็น “แค่ 1 ชม. เอง ทำทุกวัน ฉันทำได้” ด้วยกฎ The three pillars of the one-hour rule ใช้ได้กับทั้งการทำงาน และการใช้ชีวิต
เมื่อทุกคนเข้าใจกฎ The three pillars of the one-hour rule แล้ว เราลองมาสโคปเพื่อแบ่งทำง่าย ๆ โดยขอย่อยเทคนิคนี้ออกเป็น 4 แกนหลัก ในการใช้กฎ 1 ชม. นี้ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
1. ถ้าทำครั้งเดียว 1 ชม. ไม่ได้จริง ๆ ลองแบ่งเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ได้
หนึ่งในเทคนิคที่จะทำให้ทุกคนทำได้จริงคือ ‘การหาสมดุลของช่วงเวลาให้เจอ’ โดยเราสามารถจัดสรรปันส่วนแบ่งออกเป็น 1 ชม. ย่อย ๆ ได้ไม่จำเป็นต้องทุ่มทีเดียวทุกอย่างใน 1 ชม. เพื่อหาจุดที่พอดีจับต้องได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดใน 1 ชม. นี้เราต้องการคิด Project ใหม่ ตัวอย่างเช่น (อย่าลืม! ปิดทุกสิ่งที่จะรบกวนเรา แล้วโฟกัสไปที่เรื่องที่จะทำเท่านั้น) .
เป้าหมาย: คิด Project ใหม่ปีหน้า
- Learn (20 นาที) - ช่วงเวลาของการ Research + เทคนิคเพื่อให้ใช้ได้ทันที
- Reflect (20 นาที) - ย่อยและจับแพทเทิร์น อะไรที่เวิร์ก/ไม่เวิร์ก/เพราะอะไร
- Think (20 นาที) - เริ่มแผนทดลองเล็ก ๆ ได้ เช่น ออกแบบ wireframe/agenda/KPI เป็นต้น
ทำแบบนี้ให้ได้ทุกวัน ทำให้เป็นรูทีนที่สม่ำเสมอ ยังไม่จำเป็นต้องเสร็จตั้งแต่วันแรก หรือบางคนอาจจะใช้เวลา 60 นาทีไปกับการทุ่มเท Research หาข้อมูลเยอะ ๆ แล้วมาวิเคราะห์อีกวันก็ได้เช่นกัน
2. ทำให้ทุกการเรียนรู้ เปลี่ยนเป็นการลงมือทำจริง
เปลี่ยนการอ่านเพียงอย่างเดียว เป็นการมีส่วนร่วมหรือลงมือทำ เพราะต่อให้เราอ่านหนังสือ 10 เล่ม แต่ไม่เริ่มทำสักทีก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าทุกคนไม่เอาไอเดียจากการอ่านไปใช้ ดังนั้นอย่าเป็นแค่นักสะสมข้อมูล ที่มีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด
ถ้าเกิดต้องเริ่มอ่านหนังสือสักเล่ม สมมุติว่าอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเจรจาต่อรอง ลองอ่านจบ 1 บท แล้วนำไปฝึกเจรจากับเพื่อนร่วมงาน หรือคนที่สามารถให้ Feedback เราได้ ซึ่งการทำแบบนี้การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะคุณจะได้นำมันไปใช้ ได้ลองผิด ลองถูก ยิ่งเราทำสิ่งเหล่านี้ให้สม่ำเสมอขึ้น เราก็จะได้ทักษะการเรียนรู้ใหม่ ๆ ขยายขอบเขตการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
3. ทบทวนสิ่งที่เรียนรู้อยู่อย่างสม่ำเสมอ
ถ้าการเรียนรู้คือ ‘Input’ ในการรับข้อมูล การทบทวนก็คือ ‘reflection’ เป็นระบบประมวลผล คือหนึ่งในวิธีเปลี่ยนประสบการณ์ให้เป็นปัญญาที่ใช้ได้จริง (Wisdom) เพราะการเรียนรู้ที่แท้จริง เราไม่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ แต่เราทุกคนควรเรียนรู้จากการทบทวนประสบการณ์ คุณ John Dewey นักปรัชญาและนักจิตวิทยา เคยกล่าวไว้ว่า หากไม่มีการทบทวน มนุษย์เราก็จะวนอยู่ที่เดิม เสมือนคนที่เคลื่อนไหวทุกวัน แต่กลับไร้ทิศทาง
ดังนั้นเราต้องเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า…
✅ บทเรียนจากสิ่งที่เรียนรู้ว่ามันเวิร์ก คืออะไร ?
❌ บทเรียนจากสิ่งที่เรียนรู้ว่ามันไม่เวิร์ก คืออะไร ?
เมื่อทุกคนทำสิ่งนี้อย่างสม่ำเสมอ จะเริ่มเห็นแพทเทิร์นทั้งสิ่งที่จะเราไปข้างหน้า และสิ่งที่ฉุดรั้งเรา การตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งเหล่านี้มีอีกชื่อเรียกว่า “Pesonal feedback loop” เสมือนเป็นการทบทวนเปลี่ยนปัญหาให้เป็นความชัดเจน ทำความเข้าใจตัวเองในทุกวัน เพื่อให้วันข้างหน้าเราได้สร้างสรรค์ ทำอะไรต่างออกไปได้บ้างนั่นเอง
4. ใช้การคิด เพื่อเปลี่ยนความรู้ให้เป็นปัญญา
คนส่วนใหญ่มักจะชอบตอบสนองเรื่องที่โผล่มาเดี๋ยวนั้น เช่น แก้ปัญหาเฉพาะหน้า, ตอบเมลด่วน แต่ในทางกลับกันไม่มีใครเคยวางแผน หรือ Thinking ก่อน ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือเวลาเราแก้ปัญหาที่โผล่มาเดี๋ยวนั้น เราก็จะใช้ความคิดชุดเดิม, ให้ความเห็นแบบเดิมในการแก้ปัญหา แต่ในทางกลับกันคนที่ฝึก Thinking หรือเริ่มจากการคิดเชิงลึกคือการหยุดอยู่กับตัวเอง ตั้งคำถามกับมุมมองเดิม เชื่อมจุดที่คนอื่นยังไม่เห็น แล้วหยิบเส้นคิดที่น่าสนใจไปลองใช้ หลาย ๆ ครั้งคนเก่งไม่ได้รู้ทุกเรื่อง แต่เขาเปลี่ยนความรู้ที่ได้รับ ผ่านกระบวนการคิด เพื่อให้เกิดเป็นปัญญา หรือคำว่า Wisdom นั่นเอง ดังนั้นต่อให้เรามีประสบการณ์มากมายขนาดไหน หากเราไม่ฝึกคิดเชิงลึก ไม่ฝึกที่จะตั้งคำถามหรือต่อยอด คุณก็จะไม่มีวันเกิด Wisdom เด็ดขาด
หากเราฝึกคิดได้อย่างสม่ำเสมอ มันจะช่วยให้เราตัดสินใจแม่นขึ้น ไม่แก้ปัญหาแบบปลายเหตุ / ได้ไอเดียใหม่จากการ “เชื่อมต่อจุด” หรือ Connect the dot ไปสู่ไอเดียใหม่ ๆ รวมไปถึงยังช่วยลดเสียงรบกวน เพิ่มความชัดเจนว่าอะไรคือเรื่องถัดไปที่ควรทำ
แปล เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ
ที่มา