การทำงานให้เสร็จว่ายากแล้ว แต่การพาตัวเองเข้าสู่สภาวะการโฟกัสกับงานนั้นยากกว่า
เราจะเห็นได้เลยว่าการทำงานในปัจจุบันนั้นมีสิ่งรบกวนการทำงานเราอย่างมาก ตั้งแต่การจัดสรรเวลาที่ไม่ดี เพื่อนโต๊ะข้าง ๆ ที่คอยชวนคุย รวมถึงแจ้งเตือนที่โหมกระหน่ำก็ทำให้เราไม่สามารถทำงานให้เสร็จได้เช่นกัน
เทคนิค Pomodoro จึงเกิดมาเพื่อทำให้เรามีสมาธิในการทำงานมากขึ้น แต่เอาเข้าจริงหลายคนกลับทำ Pomodoro ไม่สำเร็จ แล้วมีอะไรผิดพลาดตรงไหนกันนะ เราถึงทำมันไม่ได้ วันนี้ CREATIVE TALK จึงจะพาทุกคนไปคุยกับ ดร.โอม-ชูศิลป์ เมธีไชยพงศ์ ผู้เป็น Pomodoro Licensed Trainer คนแรก และคนเดียวของประเทศไทย ว่าต้องทำอย่างไร ถึงทำให้ Pomodoro มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ดร.โอม เล่าให้เราฟังว่า เขามารู้จักเทคนิคนี้ในช่วงที่เรียนปริญญาเอกที่เยอรมัน ซึ่งดร.โอม พบว่าตัวเอง ไม่สามารถโฟกัสกับงานให้มีสมาธิได้ นั่นทำให้ดร.โอม จึงไปลงเรียนคอร์ส Pomodoro ซึ่งเขาพบว่าเทคนิคนี้มันดีต่อการทำงานมาก และคนไทยควรได้ใช้สิ่งนี้ นั่นจึงทำให้เขาไปเรียนเพื่อเอา Licensed มาพัฒนาเพื่อเทรนให้ชาวไทยต่อ
Pomodoro เป็นภาษาอิตาลี ซึ่งสร้างขึ้นโดย ฟรานเซสโก ซีลิลโอ (Francesco Cirillo) ชาวอิตาลีในปี 1987 โดย ซีลิลโอ พบว่าตนเองมีปัญหาในการอ่านหนังสือ เขาได้เหลือบไปเห็นนาฬิกาสำหรับจับเวลาตอนทำอาหารที่เป็นรูปมะเขือเทศ นั่นทำให้ซีลิลโอช้สิ่งนี้มาช่วยทำงาน แล้วพบว่ามันได้ผลดีมาก เพราะเขาสามารถอ่านหนังสือได้จนจบโดยไม่เสียสมาธิ
🍅 หลักการสำคัญของ Pomodoro คือเราต้องแบ่งเวลาทำงานออกเป็น 30 นาที โดยเราจะใช้เวลาโฟกัสกับงาน 25 นาที และพักอีก 5 นาที ซึ่งถ้าเรามีงานให้ทำหลายอย่างก็ควรทำทีละอย่างเท่านั้น 🍅
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเราถึงต้องเลือกเวลานี้ นั่นเพราะว่ามีการวิจัยแล้วว่าสมองของเราจะโฟกัสได้ตั้งแต่ 14-45 นาที ทว่าการทำงานเวลา 45 นาทีนั้นจะนานเกินไป และ 14 นาทีก็จะน้อยเกินไป ฉะนั้น 25 นาทีจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้คนหลุดจากสมาธิ
จุดสำคัญคือ 🍅 คนที่ใช้เทคนิค Pomodoro ควรจะพัก 5 นาที 🍅 ซึ่งเป็นจุดที่หลายคนมักจะทำพลาด เพราะทุกคนมักจะทำงานโดยไม่พัก แบบขอต่ออีกหน่อย ทำงานติดพัน ถ้าหากไม่พักจะทำให้สมาธิตก แล้วถ้าเกิดสมาธิตกจะทำให้เราจัดการได้ยาก
คอนเซปต์สำคัญคือไม่ว่าจะทำงานมากแค่ไหน เราควรจะต้องพักระหว่างทาง เพราะเมื่อเราพัก สมองจะสามารถจัดระเบียบความคิดที่อยู่ข้างในได้
🍅 Pomodoro เหมาะกับคน 2 กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่กำลังเรียน หรือกลุ่มคนที่ทำงานเองแล้วก็ตาม 🍅
สำหรับกลุ่มที่กำลังเรียนหนังสือ อาทิเด็กนักเรียนนั้น เด็กมากมายต่างมีจุดอ่อนคือพวกเขาโตมากับมือถือ ทำให้ไม่สามารถโฟกัสกับการอ่านได้ ฉะนั้นแล้วการตั้งนาฬิกาเพื่อจับเวลา จะทำให้เด็ก ๆ ได้ยินเสียงนับถอยหลัง ซึ่งทำให้พวกเขาควบคุมตัวเองให้มีสมาธิได้มากขึ้น
สำหรับคนทำงานอย่างเรา ๆ นั้น มักจะคุ้นชินกับการที่ต้องพาสมองเข้าสู่สภาะวะ Deep Work กันอยู่แล้ว เพราะมันเป็นสภาวะการทำงานที่ไม่ควรมีใครมายุ่ง แต่เอาเข้าจริง สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวก็มักจะทำให้สมาธิเราหลุด ฉะนั้นแล้วความสำคัญของคนทำงานคือ ไม่ว่าเราจะทำงานอะไร เราควรวางตารางเวลาให้ชัดว่างานไหนต้องเสร็จในกี่ Pomodoro (ทำงาน 25, พัก 5) โดยเราสามารถวาง Pomodoro เป็น Task ของการทำงานได้ เช่นทำงานนี้ได้ครึ่งหนึ่ง แล้วข้ามไปทำอีกชิ้นใน Pomodoro ต่อไป ซึ่งแล้วแต่ความเร่งด่วนของงานด้วย
🍅 คนที่ทำ Pomodoro มีวิธีจัดการสิ่งรบกวนยังไง 🍅
สิ่งรบกวนแบ่งเป็น 2 อย่างคือ สิ่งรบกวนภายใน กับสิ่งรบกวนภายนอก
1. สิ่งรบกวนภายใน คือเสียงในหัว ที่เกิดจากการคิดเอง อาทิ เมื่อเราลืมทำบางอย่าง หรือลืมคุยกับหัวหน้า แต่ดันนึกขึ้นได้ตอนทำ Pomodoro ฉะนั้นแล้ววิธีจัดการคือ เมื่อมีความคิดนี้แว้บมาในหัว อย่าเพิ่งรีบไปทำ ให้เราจดไว้ว่าต้องทำอะไร แล้วกลับไปโฟกัส สิ่งที่อยู่ข้างหน้าซะก่อน
2. สิ่งรบกวนภายนอก คือคนอื่น ๆ เช่นเพื่อนร่วมงานที่อาจขอความช่วยเหลือเราในเวลาที่เราทำ Pomodoro ฉะนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ให้เราเช็กดูว่าเหลืออีกกี่นาทีจะเสร็จ แล้วบอกเพื่อนร่วมงานว่าจะไปช่วยหลังจากเสร็จการทำ Pomodoro แล้ว ซึ่งสิ่งสำคัญคือเราควรต้องสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน เพราะถ้าเราเคารพเวลาของเรา คนอื่นก็จะเคารพเวลาเราด้วย ซึ่งจะทำให้เราโฟกัสกับงานได้ดีขึ้น
🍅 ถ้าไม่ได้ใช้นาฬิกามะเขือเทศจะสามารถทำ Pomodoro ได้ไหม 🍅
คำตอบคือได้ เพราะเราสามารถใช้อะไรก็ตามที่สามารถจับเวลา และมองเห็นเวลามาช่วยได้ มีทั้งนาฬิกาในมือถือ แอปฟรีในโทรศัพท์ หรือ Pomodoro ที่อยู่บนเว็บเบราว์เซอร์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่ต้องเสียทุนทรัพย์เราก็สามารถมีสมาธิที่ดีขึ้น
🍅 เราสามารถใช้ Pomodoro กับอย่างอื่นนอกจากการทำงานได้หรือเปล่า 🍅
ในข้อนี้ ดร.โอม แนะนำว่าให้เราใช้กับสิ่งที่ต้องมีสมาธิแล้วสำคัญกับเรา เช่นทำงานหรืออ่านหนังสือ เขาไม่แนะนำให้ทำกับสิ่งรีแล็ค อย่างเช่น ดูหนังหรือออกกำลังกาย เพราะการนำ Pomodoro ไปใช้กับสิ่งที่รีแล็คจะทำให้มายด์เซตเราเปลี่ยนไป ดังนั้นเราควรใช้ Pomodoro กับการทำงาน เพราะมันจะช่วยฝึกสมองให้จำได้ว่า นับถอยหลังเวลาคือสิ่งสำคัญ
หลักสำคัญคืออย่าเผลอใจ เพราะตอนที่เราทำ Pomodoro ถึง 25 นาทีแล้ว แต่งานยังไม่เสร็จ เสียงในหัวมักบอกให้เราทำต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะการเผลอใจทำเพิ่มอีกนิดหน่อย มันอาจลากยาวไปมากกว่าเดิม ฉะนั้นแล้วเราควรพัก 5 นาทีเพื่อรีเฟรชสมอง แล้วเริ่ม Pomodoro ใหม่
ท้ายที่สุดถ้าเราจับเวลาในโทรศัพท์ ก็ควรเปิดไฟล์ทโหมด เพื่อไม่ให้มีการแจ้งเตือนอะไรมารบกวนเรา เพราะ Pomodoro จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดีมาก ถ้าเรานำสิ่งนี้มาใช้กับกิจวัตรประจำวันของเรา ฉะนั้นแล้วข้อสำคัญคือจงอย่าลืมว่า ถ้าเราเคารพเวลา คนอื่นก็จะเคารพเวลาเรา แล้วเราก็จะเคารพตัวเองด้วยล่ะ