ช่วง Work From Home คุณคือสายไหน ???
สายหน้าสด ปิดกล้องเสมอ
สายเต็มยศท่อนบน ขาสั้นท่อนล่าง
สายจัดเต็มทั้งชุด เหลือแค่รองเท้าที่ยังไม่ได้ใส่
หลายคนคงแทบจะลุกจากเตียง หน้าสด แล้วก็เปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อประชุมงานในระหว่างที่ทำงานที่บ้านกัน เพราะจากการสำรวจของ wfhresearch.com เดือนมกราคมที่ผ่านมาพบว่า คนที่เดินทางไปทำงานใช้เวลากว่า 27.8 นาทีโดยเฉลี่ยในการเตรียมตัวแต่ละวันเพื่อไปทำงาน ในขณะที่คนที่ทำงานหน้าจอที่บ้านใช้เวลาเฉลี่ย 19.1 นาทีในการเตรียมตัว และคนกลุ่มหลังบางคนไม่ได้อาบน้ำทุกวันหรือเปลี่ยนชุดเพื่อทำงานด้วยซ้ำ
ที่สำคัญ คือ การสำรวจพบว่า การแต่งกายทำงานอย่างเป็นทางการไม่มีผลต่อการเพิ่มพลังและประสิทธิภาพในการทำงานเท่าไร ในทางตรงกันข้ามหากใส่เสื้อผ้าที่สบายๆ แบบที่ใส่เมื่อทำงานที่บ้านกลับทำให้รู้สึกมีพลังและมีส่วนร่วมในการทำงานมากกว่า นั่นแปลว่าพวกเขาได้ดื่มด่ำกับตัวงานที่ทำและแสดงตัวตนในที่ทำงานมากกว่าต้องอยู่ในกรอบการแต่งกายนั่นเอง
“พนักงานจะแสดงความสามารถออกมาได้ดีขึ้น เมื่อพวกเขาสามารถแสดงตัวตนและความสามารถได้เต็มที่โดยไม่ต้องเสียเงินอะไรเพิ่มเติม” การแต่งกายตามใจชอบก็เช่นกัน
ความจริงเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เมืองแห่งเทคโนโลยีอย่าง Silicon Valley รับรู้และนำไปปฏิบัตินานแล้ว นอกจากให้แต่งตัวฟรีสไตล์แล้ว หลายๆ บริษัทที่นั่นยังมีข้อเสนอพิเศษๆ อื่นๆ อย่างอาหารบุฟเฟต์ หรือ ร้านทำผมสำหรับพนักงานด้วยซ้ำ
หลังจากที่เราเริ่มกลับมาทำงานที่ออฟฟิศกันแล้ว การแต่งกายสบายๆ แบบที่เราเห็นกันผ่านหน้าจอจะกลายมาเป็นวิถีปฏิบัติที่เป็นปกติสำหรับบริษัททั่วไป และกลายเป็นชุดทำงานประจำ (แต่ไม่ใช่ชุดนอน) อย่างไรก็ตามเรื่องของภาพลักษณ์การแต่งกายสำหรับบางคนก็ยังมีผลต่ออคติในการทำงาน เช่น หัวหน้ารุ่นเก่าบางคนอาจยังมองเห็นว่า คนที่สวมหมวกแก๊ประหว่างประชุมดูน่าเชื่อถือและมีความเป็นผู้นำน้อยกว่าคนที่แต่งกายสุภาพ หรือพนักงานบางคนเองก็รู้สึกไม่มั่นใจในการพรีเซนต์งานหากไม่ได้สวมเสื้อสูทหรือแจ๊คเก็ตไปด้วย
ดังนั้นการให้อิสระในการแต่งกายจึงเป็นแนวทางใหม่ในการทำงานและหลายๆ บริษัทก็ควรนำไปใช้เพื่อให้พนักงานไม่ต้องมากังวลกับการแต่งกายว่าต้องใส่สูทผูกเนกไทไหม เพื่อที่พวกเขาจะได้เอาพลังงานไปใช้กับการโฟกัสที่ตัวงานน่าจะมีประโยชน์กับบริษัทมากกว่า
ที่มาของข้อมูล – What if Working in Sweatpants Unleashed Your Superpowers?