คุยกับเจ้าของเพจคิ้วต่ำ นักวาด-นักเขียนที่ใช้คอนเทนต์โอบกอดผู้คนมา 9 ปี

Last updated on ก.พ. 24, 2023

Posted on ต.ค. 26, 2021

หากย้อนกลับไปในยุคหนึ่งนั้น บน Facebook เคยเต็มไปด้วยคอนเทนต์คำคม ที่มาทั้งในรูปแบบข้อความล้วน ๆ และในรูปแบบของข้อความสั้น ๆ ที่มาพร้อมกับรูปวาดน่ารัก ๆ เข้ามาช่วยโอบกอดหัวใจคนอ่าน…

ซึ่งชื่อของ ‘คิ้วต่ำ’ ก็ถือเป็นหนึ่งในเพจที่ผู้คนนึกถึงในอันดับแรก ๆ ทว่าท่ามกลางสถานการณ์ทางสังคมและช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป คอนเทนต์ออนไลน์ย่อมเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามความสนใจของผู้คนบนโลกออนไลน์ ทว่าคิ้วต่ำทำอย่างไรให้คอนเทนต์ของเขานั้นไปต่อและอยู่ในใจคนอ่านต่อไปได้ พร้อมกับเติบโตไปด้วยกันขณะที่หัวใจหลักของเขายังคงเหมือนเดิม 

วันนี้ Creative Talk ก็มีเรื่องราวดี ๆ ที่คัดมาจาก The Key Message Podcast Ep.5 ในหัวข้อ ‘สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำคอนเทนต์โอบกอดผู้คนมา 9 ปี’ ที่เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ คุณปั๊ม-อนุชิต คำน้อย เจ้าของเพจคิ้วต่ำ ซึ่งเราเชื่อว่าคุณจะได้ทั้งประโยชน์และคุณค่าหลายอย่าง นับตั้งแต่เรื่องของการทำคอนเทนต์ให้ได้ใจคน และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง โดยที่ไม่ลืมความเป็นตัวเอง รวมถึงมิติของมนุษย์ที่จะทำให้คุณได้รู้จักตัวเองและเข้าใจคนอื่นจากบทความนี้แน่นอน

สัมผัสความไม่ธรรมดา ของมนุษย์ธรรมดา ที่ทำเพจธรรมดา แต่โอบกอดหัวใจผู้คนมาได้เกือบสิบปีกันได้เลย


ทำคอนเทนต์อย่างไรให้คนรู้สึก touch มา 9 ปี

อย่างแรกคือมันโตมาด้วยกัน คิ้วต่ำไม่ใช่คนที่ผ่านชีวิตมาจนสามารถสอนคนอื่นได้ ถ้าสังเกตดี ๆ คอนเทนต์ของคิ้วต่ำมันเป็นเพื่อนธรรมดา ไม่ได้เข้าใจทุกอย่างบนโลก บางทีก็เวิ่นเว้อ บางทีก็เสียใจ ถ้าเกิดย้อนกลับไปอ่านเมื่อประมาณแปดเก้าปีก่อนก็ยังเป็นวัยรุ่น มีความรักเป็นหลัก แล้วมันก็เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามช่วงวัยของเรา

สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าเราอยู่กับคนที่อ่านมานาน เพราะว่าเราโตไปด้วยกัน และเราไม่เคยหายไปไหน บางคนอาจจะตามช่วงสองสามปีแรก แล้วก็อาจจะไม่ได้ตามต่อ แต่วันนึงกลับมา คิ้วต่ำก็ยังอยู่ การที่เราไม่หายไปไหน และเป็นกันเอง เป็นธรรมดากับคนที่อ่านเรา เราก็รู้สึกว่ามันทำให้คนที่อ่านคอนเทนต์เราอยู่มาได้นานขนาดนี้ เป็นเพื่อนกัน 

บางคนแต่งงานกัน มีลูก ก็มาแชร์ให้เรา เราก็รู้สึกว่ามันโตไปด้วยกัน ที่สำคัญคือมันทำให้เราเห็นว่า มันไม่ได้แปลว่าคิ้วต่ำมีความสุขตลอดเวลา มันร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน และในขณะที่ทุกวันนี้โซเชียลหรือคอนเทนต์ต่าง ๆ มันค่อนข้าง สนุก แสบ เกรี้ยวกราด เหมือนเรากินยำ แต่คิ้วต่ำเป็นข้าวต้ม คือจืดมาก เวิ่นเว้อมาก คือจืด เห็นแล้วไม่มีรสชาติอะไรเลย แต่เรารู้สึกว่าในวันที่เรากินอาหารรสจัดเยอะ ๆ ข้าวต้มยังสำคัญ มันอาจจะต้องกินเพื่อสุขภาพนิด ๆ หน่อย ๆ และที่สำคัญเราบอกเสมอว่า

คำคมมันไม่ได้เปลี่ยนชีวิตใครนะ บางคนบอกว่าคนไทยอยู่กับคำคม ใช่ครับ แต่คำคมมันเป็นแค่น้ำเย็น มันเป็นแค่จุดพัก เป็นแค่เก้าอี้พัก สุดท้ายคุณต้องไปใช้ชีวิตของตัวเองต่อ คำคมเป็นแค่จุดฉุกคิดเท่านั้นเอง มันไม่สามารถทำให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ หรือแย่ลงได้ สุดท้ายคุณต้องใช้ชีวิตของตัวเอง และคิ้วต่ำก็เป็นแบบนั้น เป็นข้าวต้มกับน้ำเย็นมาตลอด

แต่คนมันไม่ชอบกินน้ำเปล่าตลอดเวลาเนอะ มันก็ต้องกินอย่างอื่นบ้าง เพราะมันอร่อยกว่าจริง ๆ แต่ว่าอย่างที่บอก เราเป็นข้าวต้ม เป็นน้ำเย็น แต่เราไม่เคยหายไปไหน มันก็เลยอาจทำให้คนอยู่กับเราตลอด มันจะจืดแค่ไหน แต่วันที่คุณป่วย คุณต้องกิน ข้าวต้ม โจ๊ก มันไร้รสชาติมากเลย แต่ว่าเอาง่าย ๆ วันที่คุณไม่สบายใจ เหนื่อยท้อ คุณก็อาจจะต้องกินของจืด ๆ เหล่านี้ เพื่อฮีลตัวเอง


รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของคนอ่านอย่างไร

จริง ๆ คนจากไปก็เยอะนะ แล้วคนมาใหม่ก็เยอะ คือก็ต้องยอมรับความจริงนะ ในยุคแรก ๆ เราก็จะเป็นเพจที่วัยรุ่นตามเยอะ แต่พอมันมีแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เขาก็มีทางเลือกเพิ่มขึ้น ช่วงหลังก็จะเป็นผู้สูงอายุมากขึ้น แต่ถามว่าทำยังไงให้เขากลับมา เราว่าไม่หรอก เดี๋ยวเขาคิดถึงเขาก็กลับมา แค่นั้นเลย

เราไม่สามารถทำคอนเทนต์ทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนพอใจได้

ฉะนั้นถ้าเขาจะกลับมาเพราะเรายังเป็นเรา หรือเราปรับปรุงพัฒนาในแบบนี้ เขาก็ต้องกลับมาเพราะว่าเขาอยากดูเรา ไม่ใช่เพราะเราต้องทำให้เขากลับมา พี่ก็จะรันคอนเทนต์ไปเรื่อย ๆ พยายามพัฒนาปรับปรุงตัวเอง เพราะว่าทุก ๆ การปรับปรุงและทุกการพัฒนา มันก็จะมีทั้งคนที่ยังอยู่และคนที่ไป และก็มีคนที่เข้ามาใหม่ด้วย มันจะวนอยู่แบบนี้ เป็นปกติของโซเชียล เราไม่สามารถพยายามเพื่อคนหนึ่งล้านคนได้ที่กดไลค์เรา เคารพทุกการจากไป และดีใจทุกการเข้ามา


ทำคอนเทนต์อย่างไรในสังคมที่เต็มไปด้วยการตั้งคำถาม

ทุกวันนี้เวลาเราเห็นอะไร คือทุกคนมันมีคำถาม สมมติเราทำคอนเทนต์ไปหนึ่งอัน เป็นคอนเทนต์ให้กำลังใจ คนก็มีคำถามได้นะ สมมติบอกสู้ ๆ นะ คนก็จะแบบ “สู้ ๆ อะไร ชีวิตจะมีอะไรให้สู้อีกหรอ?” ไม่ว่าเราจะทำอะไรมันก็มีคำถาม ฉะนั้นการทำคอนเทนต์ของเราทุกวันนี้ก็เลยเป็นคอนเทนต์ที่ ทำให้เราไม่ตัดสินคนอื่นมากขึ้น คิดเยอะขึ้น 

พอเรื่องราวต่าง ๆ เยอะขึ้น เราก็จะคิดมากขึ้นกับการทำคอนเทนต์ หนึ่งคือ คอนเทนต์นี้ห้ามตัดสินใครนะ ห้าม judge ใครนะ ต้องไม่ทำร้ายใคร ต้องอ่านแล้วสบายใจจริง ๆ โดยไม่ถูกโยนเข้าไปอยู่ในเรื่องอะไร มันยากขึ้นจริง ๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องคอนเทนต์หรอก อย่างเราที่เป็นคนทำคอนเทนต์ที่อยู่ในสังคมปัจจุบัน เรายังเครียดเลย เรายังโมโห เรายังโกรธ เรายังกลัว ฉะนั้นมันเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ของทุก ๆ คน ถามว่าคอนเทนต์ยากมั้ย มันก็ยาก แต่ถือเป็นการทำโจทย์แล้วกันเนอะ ว่าทำแบบนี้ไปจะเป็นยังไงบ้าง มันมี feedback หลายอย่าง แต่เราก็ต้องยอมรับ ต้องเคารพกัน เขามีความเห็นต่างหรือมีอะไรก็ตาม เราก็ต้องรับฟัง 

ตอนนี้ก็คือเหมือน take course ใหม่ เหมือนเราทำมาเก้าปี เป็นคอนเทนต์แบบเห็นทางละ ไปได้ไกล แต่พอโลกมันเปลี่ยน ต้อง take course ใหม่ ก็ต้องมาปรับทั้งตัวเรา แล้วก็ปรับทั้งวิธีการทำงานด้วย


ถูกตีกรอบให้เป็นตัวคิ้วต่ำน้อยลงไหม?

คิ้วต่ำยังเป็นเหมือนเดิม แต่คิดมากขึ้น รอบคอบมากขึ้น แล้วคนที่อยู่ในเพจ ก็ถูกคัดมาแล้ว มันเป็น target ของเรา ฉะนั้นเขาก็ยังชอบความอบอุ่นใจแบบนี้อยู่ แต่มันจะรอบคอบมากขึ้น ถ้าเป็นในช่วงนี้เราก็จะไม่อยากลงความสุขจ๋า บางช่วงเราเห็นข่าวการสูญเสียจากโรคระบาด เรารู้สึกว่าเราจะเล่าความสุขไม่ได้ เราจะเล่าว่าแบบอยู่ด้วยกันก่อน เป็นเพื่อนกันก่อน โอเค เดี๋ยวรับฟัง ระบายมา มันไม่สามารถมาแบบ วันนี้ฉันนั่งกินขนมอย่างมีความสุข วันนี้ชีวิตมีความสุขจังเลย มันไม่ได้ มันก็จะคิดมาก รอบคอบกับคอนเทนต์มากขึ้น


คอนเทนต์ละมุนอยู่อย่างไรในยุคปัจจุบัน

ถ้าคุณเป็นเพจข่าวหรือเพจอะไรแบบนี้ คุณเต็มที่ได้เลย คุณได้ปลดปล่อย แต่เพจที่มองโลกในแง่ดี เพจที่ละมุน คุณจะอยู่ยังไง ในยุคที่ทุกคนมีหนามหมด ทุกคนปาหินหมด คุณควรจะรับยังไงได้บ้าง ซึ่งมันก็ยากนะ บางโมเมนต์ก็เครียดนะ เราก็แบบเอ้ ยังไงดีน้า แต่มันก็ค่อย ๆ ปรับ เราต้องหาวิธีฮีลตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วอ่ะ โลกทั้งใบไม่ได้อยู่ในออนไลน์ เรายังมีโลกที่ยังอยู่ข้างนอก ยังมีครอบครัวยังมีอย่างอื่นอยู่ ฉะนั้นมันก็ต้องยอมรับความจริง แล้วก็อยู่กับโลกข้างนอกบ้าง แล้วก็เป็นมนุษย์ธรรมดาบ้าง เพราะบางทีเราอยู่กับคิ้วต่ำมากไป เราโดนสวมคาแรกเตอร์ จนเราเป็นคนที่ดีมาก ๆ คนนึง ทั้ง ๆ ที่ความจริงเราก็เป็นมนุษย์ เราต้องใช้ชีวิตข้างนอกบ้าง ให้มันสมดุลกัน


รับมืออย่างไรในวันที่รู้สึกเหนื่อยหรืออิ่มตัวแล้ว?

มันจะมีช่วงที่เรารู้สึกเหนื่อยกับสิ่งที่เราทำ เพราะว่าเมื่อไหร่ที่เราเอาสิ่งที่เรารักมาเป็นงานประจำ มันจะรู้สึกว่าเราเหนื่อยจัง เราไม่อยากจับปากกาขึ้นวาดรูปแล้ว ไม่อยากเขียนคำคมแล้ว มันเหมือนคนเป็นครีเอทีฟ ที่เราเชื่อว่า เราเอาสมองทั้งหมดมาใช้กับงานหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อเราอยู่ในชีวิตประจำวัน ฉันไม่อยากครีเอทีฟอะไรแล้ว ฉันอยากโง่ ๆ ฉันอยากใช้ชีวิตแมส ๆ ฉันไม่อยากคิดอะไรแล้ว ฉันไม่อยากสร้างสรรค์อะไรแล้ว มันก็มีหลาย ๆ ช่วง ขึ้น ๆ ลง ๆ ปีหน้าเราอาจจะเป็นก็ได้ หรือปีนี้เราอาจจะเป็นก็ได้ มันก็มีมาตลอด บางทีก็รู้สึกว่าอยากไปทำอย่างอื่นแล้วอ่ะ อยากทำงานประจำ อยากไปเป็นชีวิต routine ปกติ ไม่ต้องเครียดกับการให้กำลังใจใครแล้ว ไม่ต้องรับ feedback แย่ ๆ ก็มีหลายช่วงที่อยากจะลาออกจากตัวเองไปทำอย่างอื่น แต่สุดท้ายแล้ว มันก็เป็นเรา มันก็ทำได้แค่ลาพักร้อน ทำได้แค่แป๊บนึง แล้วสุดท้ายเราก็ต้องกลับมาอยู่ดี

เราเชื่อว่างานและสิ่งที่รักและสิ่งที่เราทำทุกวันนี้ มันคือสิ่งที่หล่อหลอมเรา มันเป็นออกซิเจนให้เราเคยไม่วาดรูป เคยวางทุกอย่างไว้ สุดท้ายแล้ว มันเป็นออกซิเจนของเรา เราก็ต้องกลับมาหายใจ

แต่ทีนี้ทุกครั้งที่เกิดคำถามมันก็จะดีขึ้น เพราะเราก็จะบาลานซ์มันมากขึ้น เราก็จะสมดุลมันมากขึ้น เราก็จะคาดหวังมันไม่มากเท่าเก่า หรือเราก็จะเห็นแล้วว่า ครั้งที่แล้วเรานอยด์หรือเราไม่อยากทำเพราะอะไร แล้วเราก็จะหาคำตอบให้มัน พอตอบได้ปุ๊บมันก็ดีขึ้น แต่ถ้าถามว่าดีตลอดไปเลยมั้ย ไม่ โลกมันเปลี่ยนเนอะ เดี๋ยวก็มีคำถามใหม่อีก

มันต้องถอยกลับมาถามตัวเองก่อนว่า จริง ๆ แล้วเราทุกข์เพราะอะไร เราเครียดเพราะอะไร เพราะลูกค้ากดดันเรา หรือเพราะเรากดดันตัวเอง เราไม่มีความสุขเพราะเราคาดหวังมากเกินไปรึเปล่า เราต้องถอยมาก่อน เพราะทุก ๆ ครั้งที่เราถอยมา มันก็แค่กลับมาถามตัวเองใหม่ ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร มันทุกข์เพราอะไร มันผิดหวังเพราะอะไร แล้วค่อยกลับไปใหม่ แต่ถามว่ามันได้คำตอบที่ชัดเจนทุกครั้งมั้ย มันก็ไม่เนอะ เราก็ไม่ใช่คนสติปัญญาเลิศเลอขนาดนั้น แต่เราก็รู้สึกว่าชีวิตมันไม่ได้ยืนยาวพอที่จะตอบคำถามได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกข้อ คือบางข้อมันได้ห้าสิบหกสิบไม่เป็นไรไปต่อเถอะ บางข้อตอบไม่ได้ แล้วมันไม่ทำชีวิตพังก็ไม่เป็นไร ไปต่อเถอะ ฉะนั้นการ move on มันเลยสำคัญมาก สำหรับเรานะ ถ้าเราถอยมาปุ๊บ ตั้งคำถามตัวเองตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ไปต่อ ไปต่อดีกว่า อย่าเสียเวลาเลย


สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำเพจ ‘คิ้วต่ำ’ มา 9 ปี

อย่างแรกเลย เราทำคิ้วต่ำมา 9 ปี เราสามารถให้ความหวังดี ให้ความรู้สึกดี ๆได้ โดยที่ไม่ต้องเจอหน้ากัน เราทำเพจมา 9 ปี เราก็จะรู้ว่าแฟนเพจบางคนเราแทบไม่เจอหน้ากันเลย แต่แสดงว่าความจริงใจ ความตั้งใจเรา มันก็ส่งผ่านสายแลน ส่งผ่านไวไฟไปถึงเขาได้เหมือนกัน

ส่วนในเรื่องของมนุษย์ จริง ๆ มันมีการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตอยู่ตลอดเวลา มนุษย์คือสุขทุกข์ เป็นเรื่องปกติเลย แต่ว่าสิ่งที่สำคัญของมนุษย์เลย คือการเห็นอกเห็นใจ การเข้าใจ แล้วก็ไม่ตัดสินกัน อย่างที่เราบอกตลอดว่า เพจคิ้วต่ำไม่เคยหายไปไหน มันเหมือนเราจำเป็นจะต้องมีใครสักคนที่ไม่เคยหายไปไหนจากเรา ถ้าเหนื่อยปุ๊บหันไปเจอเรา ถ้าเหนื่อยปุ๊บอยากระบายก็เจอเรา มนุษย์เราต้องการแค่นี้เอง

การที่มีใครสักคนอยู่ข้างเรา รับฟังเรา แล้วก็ไม่ตัดสินเรา มันคือกำไรของคนคนนึงมาก ๆ เลย เรารู้สึกว่ามนุษย์มันต้องการแค่นี้แหละ

สุดท้ายแล้วเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของแต่ละคนมันก็เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่ว่าพื้นฐานเรา แค่มีสิ่งนี้อยู่ ใจเรามันก็จะมีความสุข ใจเรามันก็จะมีพลังไปสู้ต่อ พอเราทำมันนาน ๆ เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้ว มันไม่มีใครดีใครร้ายไปถึงที่สุด ทุกคนมันเติบโตมาต่างกัน แล้วก็ทุกคนมันมี back story ต่างกัน เมื่อก่อนเวลาทำคอนเทนต์ คอนเทนต์ก็จะแอบตัดสิน นู่นนี่นั่น แต่พอเราโตขึ้น เราก็จะเห้ย คนเรามันโตมาไม่เหมือนกัน ฉะนั้นการที่คุณเห็นบางอย่างจากเขา ถ้าเกิดมันไม่ดีทำร้ายคนอื่นก็ไม่โอเค ถ้าคุณเห็นบางอย่างจากเขา คุณไม่เข้าใจเขา คุณไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินเขานะ เพราะคนบางคนมันเจอเรื่องมาไม่เหมือนกันจริง ๆ


เราได้อะไรจากการปลอบประโลมคนแปลกหน้า

อย่างแรกคือได้โอกาส มันได้เป็นหนังสือ เป็นรายได้ เป็นโอกาส ได้ทำงานตรงนั้นตรงนี้ แล้วมันเป็นผลงานที่ต่อยอดโอกาสเราได้ อย่างที่สองเราได้กำลังใจกลับ มีคนมาคอมเมนต์แล้วเราก็จะรู้สึกดี หรือช่วงวันเกิดแม่ เรารู้สึกเศร้า เราเหงา มีคนมาบอกว่าคิดถึงเหมือนกัน ทุกคนรู้สึก มันเหมือนเราอยู่ที่ไหนสักที่ แล้วทุกคนก็ตะโกนว่าเจ็บปวดจังเลยโว้ย แล้วก็มีคนวิ่งเข้ามากอดเราเต็มไปหมด เรารู้สึกว่ามันก็เป็นการแชร์ความรู้สึกดี ๆ ในแฟนเพจ ได้ทั้งโอกาส แล้วก็ได้ทั้งกำลังใจกลับ อันนี้คือสองสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ที่เราได้จากการทำแฟนเพจมา


ใจความสำคัญที่ได้จากการทำเพจ ‘คิ้วต่ำ’ ใน 9 ปีที่ผ่านมา

อย่างแรกถ้าเป็นชีวิตเราก็คือเรื่องการเติบโต เพราะเราก็ 30+ เราโตขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่สิ่งนึงที่รู้สึกคือ เราได้ทิ้งบางอย่างเอาไว้ให้แล้ว คือต่อให้ อยู่ดี ๆ พี่อัดพอดแคสต์เสร็จปุ๊บ เดินออกไป คานหล่น ตายคาที่ตรงนั้น เราก็ได้ทิ้งบางอย่างไว้แล้ว ที่เป็นการ์ตูน ที่เป็นภาพวาด ที่เป็นคำ ต่อให้คนที่แชร์ไปจะไม่รู้จักเลยก็ได้ว่าคิ้วต่ำเป็นใคร ใครคือคิ้วต่ำ ฉันแค่อ่านแล้วกำลังใจดี เราว่าสำหรับเรามันก็โอเคแล้วนะ คือเราก็เรียกว่ามันคือการเติบโตของมนุษย์คนนึงที่สมบูรณ์แบบในช่วง 9 ปี เพราะมันมีทั้งผิดพลาด พัง ประสบความสำเร็จ ดี แย่ ทุกอย่างมันปนกันไปหมด ถ้าเป็นสมูทตี้ก็กำลังอร่อยเลย มันเป็น 9 ปีที่กำลังอร่อย 

แต่มันมีคนถามว่า 9 ปีที่ผ่านมามันเป็นยังไง เราก็จะบอก มันดีแหละ แต่เราจะไม่บอกว่ามันดีมากหรือพอแล้ว เพราะว่าสุดท้ายมันต้องมีชีวิตต่ออีก เราก็ต้องมีอีกสองปี สามปี สี่ปี ห้าปี ข้างหน้าที่ต้องไปต่อ เพราะฉะนั้นเก็บ 9 ปี ก็เหมือนรวมเล่มไว้ แล้วก็เป็นหลักสูตรตัวเอง ถ้าเดี๋ยวอีก 9 ปีจะพัง ก็อย่าเท่า 9 ปีก่อน ฉะนั้นก็เป็นการเติบโตของคนคนนึง เป็นการเติบโตของเพจเพจนึง เป็นการเติบโตของศิลปินคนนึง เป็นการเติบโตของลายเส้นลายเส้นนึง แค่นั้นเอง เป็นมนุษย์คนนึงที่เติบโตขึ้นไป 

ทุก ๆ คอมเมนต์ ทุกการทำงาน ทุกการเติบโตทั้งหมดมันสอนเราด้วย แล้วทุกวันนี้เราก็ไม่ใช่มนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด เราก็ต้องไปต่อในบทบาทของคิ้วต่ำ วัย 33 ปี 34 ปี หรือวันนึงอาจจะเป็นคิ้วต่ำวัย 40 ปี จะเป็นคนแบบไหนไม่รู้ แต่สิ่งที่ได้คือการเติบโตนั่นแหละ.


รับฟังบทสัมภาษณ์เต็มรูปแบบของ The Key Message EP.5 - ‘สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำคอนเทนต์โอบกอดผู้คนมา 9 ปี'  ได้ที่
🖥️ YouTube: https://youtu.be/wpytDOgqBZ4
🎧 SoundCloud: https://bit.ly/3m2gCs7
🎧 Spotify: https://spoti.fi/3B3DzPR
🎧 PodBean: https://bit.ly/2ZcqhDw
🎧 Apple Podcasts: https://apple.co/3jtHtfb
trending trending sports recipe

Share on

Tags