The Coffee Club ปรับเกมใหม่ พลิกกลยุทธ์ด้วย “Co-Living & Education space ครบจบที่เดียว” ใช้ Insight ลูกค้า พาแบรนด์กลับมาโตอีกครั้ง ตอบโจทย์ลูกค้ารุ่นใหม่
ในยุคที่ ‘พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว’ การอยู่รอดของแบรนด์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ‘ขนาด’ แต่อยู่ที่ ‘การปรับตัว’ The Coffee Club คืออีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจ โดยเฉพาะจากการปรับโมเดลธุรกิจที่พลิกสถานการณ์จากขาดทุนสู่กำไร ในเวลาเพียงไม่กี่ปี

นางนงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เอ็มเอฟ คาเฟ่ แอนด์ เรสเตอรองต์ จำกัด กล่าวว่า “จากภาพรวมการดำเนินธุรกิจของเดอะ คอฟฟี่ คลับ และความสำเร็จในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะลูกค้าคนไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น จากกลยุทธ์ที่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความหลากหลายและความสะดวกสบาย ทั้งการเปิดตัวเมนูใหม่และแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง การขยายฐานสมาชิกผ่านแอปพลิเคชันและ Loyalty Program ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงปัจจัยหลักอย่างการขยายสาขาในทำเลศักยภาพ”
หนึ่งในกลยุทธ์ที่ทำให้ The Coffee Club กลับมาเป็นบวกได้ คือ “การฟังลูกค้าอย่างแท้จริง” โดยตัวอย่างที่น่าสนใจคือ สาขาสามย่านมิตรทาวน์ ได้เดินหน้าโมเดล Co-Living & Education space ครบจบที่เดียว ในทำเลศักยภาพ ซึ่งเป็นย่าน Co-Living & Education Hub ใจกลางเมืองที่มีกลุ่มนักศึกษาและคนทำงานรุ่นใหม่เป็นกลุ่มหลัก ด้วยการปรับโฉมร้านครั้งใหญ่ เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน, ประชุมกลุ่ม, อ่านหนังสือ หรือพักผ่อนในบรรยากาศสบาย ๆ ซึ่งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยและอาคารสำนักงาน มี Insight ชัดเจนว่าลูกค้ามักมานั่งติวหนังสือหรือทำงานเป็นเวลานาน แบรนด์จึงปรับร้านให้กลายเป็น Co-Living & Education space ครบจบที่เดียว ด้วยโซนที่แบ่งสัดส่วนชัดเจน เช่น
☕ ใช้พื้นที่จุดอับของร้าน ให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับทำงาน โดยมีทั้ง Wi-Fi, ปลั๊กไฟ และโคมไฟทุกจุด เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้มักจะมานั่งเป็นเวลานาน การมีพื้นที่ส่วนตัวให้ลูกค้าได้มีโฟกัสต่องานสำคัญมาก เพื่อให้รองรับการนั่งทำงานหรืออ่านหนังสือได้ตลอดวัน
☕ Dining Zone ที่เหมาะสำหรับมื้อเช้า-กลางวัน พร้อมกระจกใสรับแสงธรรมชาติ โดยพื้นที่นี้จะอยู่ส่วนด้านหน้าของร้าน ซึ่งเหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการพักผ่อนและรับประทานอาหารในบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง
☕ Bar Connect เป็นพื้นที่นั่งแบบสตูบาร์สูงติดกับเคาน์เตอร์ครัวกลางร้าน ให้ลูกค้าสามารถนั่งดื่มเครื่องดื่มโปรด อีกทั้งมุมนี้ยังออกแบบให้เป็นมุมสำหรับถ่ายภาพลงโซเชียลได้

☕ นอกจากนี้ยังเพิ่มพื้นที่ Co-Living ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าใช้เป็นพื้นที่นัดหมายกลุ่มย่อย หรือประชุมงานแบบไม่เป็นทางการได้อย่างสะดวก
โดยทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่การออกแบบให้สวยเพียงอย่างเดียว แต่คือการตอบ “Pain Point” ของลูกค้าโดยตรง รวมไปถึงการตกแต่งในโทนสีสดใส ทันสมัย ผสมผสานงานดีไซน์กลิ่นอายโมเดิร์นที่สะท้อนตัวตนของกลุ่ม Gen Z และ First Jobber ได้อย่างชัดเจน โดยเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายตา และน้ำหนักเบา สามารถเคลื่อนย้ายปรับเปลี่ยนได้ง่าย พร้อมจัดวางโต๊ะ-เก้าอี้แบบยืดหยุ่น รองรับการใช้งานที่หลากหลาย พร้อมกันนี้ยังมีมุม ช่วยเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง โดยตั้งเป้าให้สาขานี้เป็นแลนด์มาร์กคาเฟ่ของนิวเจน เพื่อสร้างยอดขายและขยายฐานสมาชิกใหม่ ๆ ให้มีสัดส่วนลูกค้าคนไทย 40% ต่างชาติ 60% ตามแผนที่วางไว้
“All Day Breakfast – Healthy Menu” จับกระแสใหม่แบบเข้าเป้า อาหารยังคงเป็น “จุดแข็งหลัก” ของแบรนด์ โดยเฉพาะการเน้นเมนูที่เป็นมิตรต่อสุขภาพ
พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัวเมนูสุขภาพใหม่ 7 เมนู ตอบรับกระแสเฮลท์ตี้ที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยเมนู SUPERFRUIT BOOSTER สมูทตี้จากผลไม้คุณประโยชน์สูง 4 เมนู ประกอบด้วย
- ดราก้อนคิส (Dragon Kiss) สมูทตี้แก้วมังกร ลิ้นจี่พร้อมโปรตีนอัลมอนด์
- กัววา ปาร์ตี้ (Guava Party) สมูทตี้ฝรั่ง บ๊วย น้ำผึ้ง และกรีกโยเกิร์ต
- เวคมีออเรนจ์ (Wake Me Orange) สมูทตี้กาแฟส้ม พร้อมโปรตีนอัลมอนต์ และ
- มะยงชิดเมจิก (Mayongchid Magic) สมูทตี้มะยงชิด บลูสไปรูลินา พร้อมโปรตีนอัลมอนด์

อีกทั้งยังมีเมนูสุขภาพแนวเฮลท์ตี้โบวล์อย่าง SUMMER POKE BOWL อีก 3 เมนู ประกอบด้วย
- โบวล์สลัดผัก และไก่เสิร์ฟพร้อมน้ำสลัดชิลลี่มาโยวาซาบิ (Veggie Poke Bowl with Chicken)
- โบวล์ควินัว กุ้งสไปซี่ และผักสดเสิร์ฟพร้อมน้ำสลัดชิลลี่มาโยวาซาบิ (Quinoa Poke Bowl with Chilli Mayo Shrimp)
- โบวล์ควินัว และแซลมอนแอตแลนติกเสิร์ฟพร้อมน้ำสลัดงาวาซาบิ (Quinoa Poke Bowl Atlantic Salmon Bowl)
โดยทั้ง 3 เมนู สามารถเลือกปรับเบสเป็น ผักเรดโอ๊คและกรีนโอ๊ค หรือ ควินัว รวมถึงเนื้อสัตว์สามารถเลือกรับเป็น แซลมอนแอตแลนติก กุ้งซอสพริก หรือ ไก่ ในขณะที่น้ำสลัดก็มีให้เลือกได้ตามชอบทั้ง น้ำสลัดชิลลี่มาโยวาซาบิ หรือ น้ำสลัดงาญี่ปุ่น เริ่มวางจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ครอบคลุมทุกช่องทาง ทั้งรับประทาน ที่ร้านในสาขาที่ร่วมรายการ และช่องทางเดลิเวอรีผ่านแอปพลิเคชัน

ในขณะที่ช่วงครึ่งปีหลัง 2568 เดอะ คอฟฟี่ คลับ ยังเดินหน้าปรับภาพลักษณ์และยกระดับสาขาเดิม ด้วยแผนรีโนเวทกว่า 10 สาขาทั่วประเทศ ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย พร้อมจัดโซนพื้นที่และการตกแต่งให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่มากขึ้น
จากการดำเนินงานที่กล่าวข้างต้น เดอะ คอฟฟี่ คลับ เชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ๆ ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในภาพรวมให้เป็นไปตามเป้าหมาย ตอกย้ำภาพลักษณ์ ‘Neighborhood Café’ ที่เป็นมากกว่าคาเฟ่ แต่เป็นพื้นที่เติมเต็มช่วงเวลาดี ๆ ให้เกิดขึ้นได้ทุกวัน”