คุณผู้อ่านเคยคล้อยตามใคร เพราะแค่เขาคนนั้นพูดประโยคที่ถูกใจเราบ้างไหม แม้ว่าเราจะดึงสติกลับมาได้ แต่การเผลอถูกจูงใจด้วยคารมก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวอยู่
อารมณ์คือสิ่งที่อยู่กับมนุษย์ทุกสายพันธ์ุ จากหลายหมื่นหลายพันปี มาจนถึงยุคปัจจุบัน ทุกช่วงเวลาของคนจะมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ นั่นก็เพราะมนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่จัดการทางอารมณ์ได้ดีที่สุดสายพันธ์ุหนึ่งของโลก
ความฉลาดทางอารมณ์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จทั้งในด้านชีวิตส่วนตัว และด้านการทำงาน อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับความสามารถที่น่าเกรงขามอื่น ๆ พลังนี้ก็มีศักยภาพที่จะนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์ในด้านมืดได้
ช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์บางช่วง เกิดขึ้นจากความฉลาดทางอารมณ์ เมื่อมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King, Jr.) กล่าวสุนทรพจน์แห่งความฝัน ในการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 1963 โดยเขาเลือกประโยคที่กระตุ้นหัวใจให้ผู้ฟังรู้สึกฮึกเหิม
“ผมมีความฝัน ว่าสักวันหนึ่งประเทศนี้ จะลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อความเท่าเทียมกันของมนุษย์”
เขาสัญญาว่าดินแดนที่ ‘ร้อนระอุด้วยความร้อนแรงของการกดขี่’ จะสามารถเปลี่ยนเป็น ‘โอเอซิสแห่งอิสรภาพ และความยุติธรรม’ โดยเขาฝันไว้ว่าลูกชายของอดีตทาสกับเจ้าของทาสจะสามารถนั่งร่วมโต๊ะเดียวกันได้
สุนทรพจน์เหล่านี้ได้สร้างผลกระทบกับผู้ฟังมหาศาล มันกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมาย จนประโยคของ ดร. คิง ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
การส่งข้อความอันฮึกเหิมนี้ต้องใช้ความฉลาดทางอารมณ์มากมาย ผู้พูดต้องมีความสามารถในการรับรู้ เข้าใจ และจัดการอารมณ์ได้ ซึ่ง ดร. คิงแสดงให้เห็นถึงทักษะที่น่าทึ่งในการจัดการอารมณ์ของตัวเอง ซึ่งจุดประกายความรู้สึกฮึกเหิมให้ผู้คนที่ยืนฟังสุนทรพจน์ตรงนั้น
ความฉลาดทางอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญ มันจะสามารถบดบังด้านมืดของผู้พูดได้ เมื่อผู้คนฝึกฝนทักษะทางอารมณ์ เราก็จะสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดี ปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง และเมื่อเรารู้ว่าคนอื่นกำลังรู้สึกอย่างไร เราก็สามารถใช้ประโยชน์จากความฉลาดทางอารมณ์ ดึงหัวใจของพวกเขาออกมา ไปจนถึงกระตุ้นให้พวกเขาทำสิ่งที่ขัดต่อผลประโยชน์สูงสุดของตนเองได้
นักสังคมศาสตร์ก็ได้วิจัยถึงด้านมืดของความฉลาดทางอารมณ์นี้ ในการศึกษาที่นำโดยศาสตราจารย์ โจเชน เมนเกส (Jochen Menges) แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้กล่าวว่า เมื่อผู้นำกล่าวสุนทรพจน์ที่สร้างแรงบันดาลใจ ผู้ฟังจะพิจารณาข้อความ และจดจำเนื้อหาทั้งหมดได้น้อยลง แต่การใส่อารมณ์นั้นจะทำให้ผู้ฟังประทับใจกับคำพูดของผู้นำมากขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม เราถึงสามารถจดจำคำปราศัยของนักการเมืองบางคนได้ นั่นเพราะเรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับคำพูดของพวกเขา
เมื่อตระหนักถึงพลังของอารมณ์ ผู้นำที่มีอิทธิพลมากที่สุดของศตวรรษที่ 20 คนหนึ่ง จึงใช้เวลาหลายปีในการศึกษาผลกระทบทางอารมณ์ของภาษากาย เขาฝึกฝนท่าทางมือ และการวิเคราะห์การเคลื่อนไหว ชายคนนั้นไต่เต้าจากการเป็นอดีตทหารผ่านศึก สู่นักการเมืองที่สั่นสะเทือนโลก เขาปลุกระดมคนด้วยการทำให้ตนกลายเป็น ‘นักพูดในที่สาธารณะที่น่าหลงใหล’ คำพูดของชายคนนั้น ทำให้ผู้ฟังกล้าทำเรื่องที่ผิดศีลธรรมมากมาย และนามของนักพูดคนนั้นคือ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)’
ผู้นำที่ควบคุมอารมณ์สามารถปล้นตรรกะ ไปจากการหาเหตุผลของเราได้ ผลวิจัยหนึ่งแสดงให้เห็นว่า เมื่อผู้คนมีแรงจูงใจในการรับใช้ตนเอง ความฉลาดทางอารมณ์จะกลายเป็นอาวุธในการบงการผู้อื่น ซึ่งงานวิจัยนี้นำโดยนักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยโตรอนโต และพวกเขาให้พนักงานกรอกแบบสำรวจถึงแนวโน้ม การเป็นคนที่มีนิสัยชอบหลอกใช้ผู้อื่นเพื่อทำให้ตนเองมีอำนาจ พร้อมทำการทดสอบด้าน EQ ไปด้วยเลย
ผลปรากฏว่าพนักงานที่มีนิสัยชอบหลอกใช้ผู้อื่น เป็นคนที่มีทักษะทางอารมณ์สูง ซึ่งพวกเขาใช้ทักษะทางอารมณ์นั้นเพื่อทำให้เพื่อนร่วมงานอับอาย และขายหน้า เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวนั่นเอง
แน่นอนว่าผู้คนไม่ได้ใช้ความฉลาดทางอารมณ์ เพื่อจุดประสงค์ที่ชั่วร้ายเสมอไป บ่อยครั้ง ทักษะทางอารมณ์เป็นเพียงเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมาย ในการศึกษาด้านอารมณ์ที่บริษัท The Body Shop ทีมวิจัยที่นำโดยศาสตราจารย์ โจแอนน์ มาร์ติน (Joanne Martin) จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พบว่าผู้ก่อตั้งบริษัท The Body Shop อย่าง แอนิตา ร็อดดิก (Anita Roddick) ใช้อารมณ์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานของเธอระดมทุนเพื่อการกุศล
“เมื่อใดก็ตามที่เราต้องการโน้มน้าวพนักงานของเรา ให้สนับสนุนโครงการใดโครงการหนึ่ง เราก็มักจะพยายามทำลายหัวใจของพวกเขาเสมอ” แอนิตา ร็อดดิก
แม้ว่าความฉลาดทางอารมณ์ จะเป็นทักษะอันทรงคุณค่าอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่มันก็มีด้านมืดที่จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งการทำความเข้าใจว่าความฉลาดทางอารมณ์ สามารถควบคุมทิศทาง และบงการผู้คนได้นั้นต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้านจริยธรรม
เมื่อตระหนักถึงความเสี่ยงกับข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการใช้ EQ แล้ว เราควรใช้ทักษะนี้เพื่อการพัฒนาตนเอง และคนรอบข้างให้ดีขึ้น ซึ่งการสร้างสมดุลระหว่างการใช้ความฉลาดทางอารมณ์อย่างมีจริยธรรม จะเป็นกุญแจสำคัญที่เราสามารถมั่นใจว่า เครื่องมืออันทรงพลังนี้จะถูกนำมาใช้อย่างมีความรับผิดชอบ ทั้งในด้านส่วนตัว และด้านการทำงานต่อไป
แปล เรียบเรียง: พีรพล สดทรัพย์
ที่มา
- What is emotional intelligence and how does it apply to the workplace?
- Emotional Intelligence in Leadership: Why EQ is Crucial for Employee Success
- The Dark Side of Emotional Intelligence