ในช่วงสองปีที่ผ่าน เราต้องยอมรับว่าวงการธุรกิจหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักก็คือ อุตสาหกรรมยานยนต์ เมื่อเมืองทั่วโลกต่างก็ต้องโดนล็อกดาวน์ ทำให้การเดินทางแทบจะนิ่งสนิท
ตอนนี้ถึงแม้ว่าโรคระบาดยังไม่จบ และการเดินทางระหว่างประเทศอาจจะยังไม่กระเตื้องมากนัก แต่การได้รับวัคซีนเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ เมืองต่างๆ เริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์และการเดินทางภายในประเทศและการเดินทางในชีวิตประจำวันในหลายๆ มุมของโลกก็เริ่มกลับมาเกือบจะเทียบเท่ายุคก่อนหน้าโควิดได้แล้ว
ทิศทางของรูปแบบการเดินทาง และอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังจะเปลี่ยนไปแบบก้าวกระโดด ในปี 2022 เป็นต้นไป
พฤติกรรมผู้บริโภค
ผลสำรวจล่าสุดด้านการเดินทางและยานยนต์ของ McKinsey พบว่าการเดินทางแบบรถร่วม หรือ ขนส่งสาธารณะกลับมามากขึ้น ปี 2021 ที่กำลังจะผ่านไปเริ่มมีการใช้ Robotaxi หรือรถแท็กซี่แบบไร้คนขับ ที่ก็น่าจะยังคงมีกระแสตอบรับที่ดีในปี 2022
ด้านรถยนต์ส่วนบุคคล ผู้คนเริ่มมองหารถที่รักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะ รถขนาดเล็ก จำพวก e-kickscooter หรือ e-bike เริ่มได้รับความนิยม หรือแม้กระทั่งยอดขายตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ใน จีน ยุโรป และอเมริกา ก็เริ่มจะแซงหน้ารถแบบพลังงานเชื้อเพลิงแล้ว ผู้บริโภคจะปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น รวมทั้งคาดหวังให้รถยนต์ไฟฟ้ามีระบบนิเวศที่ลื่นไหลไม่สะดุดด้วย นอกจากนี้ผู้บริโภคยังเลือกการเข้าถึงการเดินทางแบบใหม่ๆ อาจจะเป็นการเช่ารถแทน โดยเฉพาะในแถบพื้นที่เมืองใหญ่ๆ ในประเทศที่พัฒนามากๆ แล้ว
เทคโนโลยี
ปี 2022 จะเริ่มเป็นยุคของยานพาหนะแบบไร้คนขับ โดยเฉพาะ Level-3 Vehicle หรือ Conditional Driving Automation (รถที่มีความสามารถในการตรวจจับสภาพแวดล้อม และสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด) สิ่งหนึ่งที่สำคัญในการพัฒนายานยนต์รูปแบบนี้ คือ ซอฟท์แวร์ที่ต้องคอยอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ และนี่คือตัวกำหนดว่าใครจะเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไร้คนขับที่แท้จริง ด้านเทคโนโลยียังรวมไปถึงการพัฒนาการปล่อยคาร์บอนของรถยนต์ด้วย ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ตัวรถอย่างเดียวแต่ยังรวมไปถึงกระบวนการผลิต
นอกจากตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตแล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องพัฒนาควบคู่ไปด้วยกันคือ โครงสร้างการสร้างสถานีจ่ายพลังงงานตามจุดต่างๆ เพื่อรองรับจุดชาร์ตแบตเตอรี่ เรื่องนี้จะเป็นประเด็นสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีในปี 2022 ต่อไป
กฎหมายควบคุม
เมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา ในงาน COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสก็อตแลนด์ หลายๆ ประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับการร่วมมือกันเพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยมุ่งพัฒนาเพื่อความยั่งยืนของโลก รวมถึง Net Zero Emission ที่ตั้งใจจะทำให้ได้ภายในปี 2050 เป้าหมายดังกล่าวทำให้รัฐบาลในหลายๆ ประเทศเริ่มออกมาตรการจริงจังเพื่อควบคุม เช่น ปารีสจะลดจำนวนที่จอดรถสาธารณะลง 50% โรมจะเพิ่มอัตราค่าจอดรถขึ้น ลอนดอนและโคเปนเฮเกนสนับสนุนให้พลเมืองใช้ e-scooter ทั้งหมดทั้งมวลเพื่อลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบพลังงานไฟฟ้านี้กำลังพลิกโฉมวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ เริ่มต้นจากความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ การสร้างสถานีจ่ายพลังงานกว่า 15,000 จุดต่อสัปดาห์ ความต้องการโรงงานขนาดใหญ่ผลิตแบตเตอรี่อีก 24 แห่ง และอื่นๆ อีกมากมายที่จะตามมา
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้นับว่าเป็นโอกาสใหม่ๆ ของธุรกิจยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ หรือขยายความร่วมมือกับบริษัทอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การสร้างพันธมิตรที่มีคุณค่ากับธุรกิจ คือ การรวบรวมองค์กรที่มีความสำเร็จในแต่ละด้านเข้าไว้ด้วยกัน เป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตของธุรกิจในโลกยุคถัดไปที่จะมารองรับระบบ ACES Vehicle หรือ ระบบการขับขี่แบบอัตโนมัติ การเชื่อมต่อ การปรับให้เป็นระบบไฟฟ้า และการแบ่งปันกันใช้งาน ที่เป็นตัวแปรหลักในการเปลี่ยนผ่านวงการยานยนต์จากรูปแบบเดิม
