การแข่งขันทางธุรกิจในปัจจุบัน มีทิศทางการเติบโตและการแข่งขั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเทคนิคทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของออฟไลน์หรือออนไลน์ ที่มีหลากหลายกลยุทธ์ให้เลือกใช้ ซึ่งแต่ละกลยุทธก็จะมีที่มา แนวคิด วิธีการที่แตกต่างกันออกไป กระทั่งในช่วง 2 – 3 ปีหลังมานี้ หลายคนคงเริ่มได้ยินคำว่า “Inbound Marketing” กันบ่อยมากขึ้น
Inbound Marketing – การตลาดแบบแรงดึงดูด
การตลาดในรูปแบบดึงดูดให้ “กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย” เป็นฝ่ายเข้ามาหาแบรนด์ ผ่านการทำคอนเทนต์ที่เน้นคุณภาพ มีความน่าสนใจ และมีเนื้อหาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในเวลาที่ใช่ ผ่านแนวคิดการเปลี่ยน “คนแปลกหน้า” (Stranger) ให้กลายเป็น “ผู้ชื่นชอบแบรนด์” (Promotors)
ขั้นตอนการทำงานของ Inbound Marketing
Inbound Marketing จะมีอยู่ 4 ขั้นตอนหลัก ๆ คือ
1. Attract – ดึงดูด
ในขั้นแรก เริ่มจากการเปลี่ยน “คนแปลกหน้า” (Stranger) ให้กลายเป็น “ผู้เข้าชม” (Visitor) ของเรา ด้วยการทำคอนเทนต์ที่เน้นคุณภาพ สร้างคุณค่า และมีเนื้อหาตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ
2. Convert – เปลี่ยนสถานะ
เมื่อ “ผู้เข้าชม” (Visitor) เข้ามายังแพลตฟอร์มของแบรนด์แล้ว แบรนด์ต้องเปลี่ยนสถานะของเขาให้กลายมาเป็น “คนรู้จัก” ผ่านเทคนิค Lead Generation หรือการให้ข้อมูลที่แบรนด์ต้องการ เช่น ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว โซเชียลมีเดียที่ใช้เป็นประจำ ฯลฯ
3. Close – ปิดการขาย
หลังจากเปลี่ยนสถานะมาเป็นคนรู้จักแล้ว อย่าเพิ่งเร่งให้เขาเปลี่ยนมาเป็นลูกค้า เพราะไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะเป็นลูกค้าในตอนนี้ แบรนด์ต้องค่อย ๆ กระตุ้นด้วยคอนเทนต์ที่เน้นคุณภาพผ่านแพลนฟอร์มต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ จนพวกเขาเกิดความต้องการ กลายเป็น “ลูกค้าที่มีความมุ่งหวัง” (Leads) และเปลี่ยนสถานะมาเป็น “ลูกค้า” (Costumers) ในที่สุด
4. Delight – เพิ่มความพึงพอใจ
แม้เป้าหมายจะสำเร็จ เปลี่ยนคนแปลกหน้า กลายมาเป็นลูกค้าได้แล้ว หน้าที่ของแบรนด์ยังคงไม่จบเพียงเท่านั้น ควรมีการสานความสัมพันธ์ต่อกับพวกเขาไปเรื่อย ๆ ทั้งในออนไลน์และออฟไลน์ เช่น การทำคอนเทนต์พิเศษสำหรับลูกค้า เพื่อให้พวกเขากลายมาเป็น “ผู้ชื่นชอบแบรนด์” (Promotors)
ธุรกิจแบบไหนเหมาะกับ Inbound Marketing?
ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า Inbound Marketing ไม่ได้เหมาะกับทุกธุรกิจ เพราะต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 6 เดือน ไปจนถึง 1 ปี กว่าจะเห็นผลลัพธ์ ซึ่งธุรกิจที่เหมาะจะทำ Inbound Marketing คือธุรกิจที่ลูกค้าต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ ได้แก่ ธุรกิจให้คำปรึกษา, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจยานยนต์, ธุรกิจที่มีมูลค่าสูง, B2B ฯลฯ
คิดจะทำ Inbound Marketing
ต้องรู้จักตั้งเป้าหมายแบบ S.M.A.R.T
จะทำการตลาดต้องใช้วิธีที่ชาญฉลาด ต้องรู้จักตั้งเป้าหมาย ซึ่งกลยุทธ์ S.M.A.R.T เป็นการตั้งเป้าหมาย 5 ข้อ ได้แก่
S – Specific ต้องเป้าหมายให้เฉพาะเจาะจง
เช่น เปลี่ยนจากการตั้งเป้าหมายว่า “เดือนนี้จะขายเสื้อผ้าให้ได้เยอะ ๆ” เป็น “เดือนนี้จะขายเสื้อผ้าให้ได้ขั้นต่ำ 30 ตัว”
M – Measurable เพิ่มโอกาสทางการขาย
หลังจากที่วางเป้าหมายไว้แล้ว คุณสามารถเพิ่มโอกาสในการขายได้ โดยการใช้เครื่องมือออนไลน์ เช่น Facebook Ads, Google Adwords เข้ามาช่วย พร้อมตั้งเป้าหมายเพิ่มเข้าไปว่า “เดือนนี้จะขายเสื้อผ้าให้ได้ขั้นต่ำ 30 ตัว โดยใช้ Facebook Ads เพื่อให้ได้ยอดขาย 3 แสนบาท”
A – Achievable เป้าหมายเป็นไปได้จริง
การตั้งเป้าหมายในแต่ละขั้นตอน คุณต้องวางแผนและคำนึงด้วยว่า ต้นทุนที่มี ความพร้อมต่าง ๆ ศักยภาพทางการตลาด สามารถพาแบรนด์ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไหวหรือเปล่า
R – Relevant เป้าหมายต้องเกี่ยวกับธุรกิจ
การตั้งเป้าหมายเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ความจริงแล้วละเอียดอ่อน ซึ่งการเป้าหมายในแต่ละครั้ง ต้องมรความเกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณด้วย เช่น ขายเสื้อผ้า เน้นกำไร ยอดขายที่ได้มา, ธุรกิจสื่อ เน้นยอดการเข้าถึงของผ้าเข้าชม
T – Time Bound เป้าหมายต้องมีระยะเวลา
การตั้งเป้าหมายที่ดี ควรมีกรอบระยะเวลาจำกัดที่ชัดเจน เช่น เดือนนี้จะขายเสื้อผ้าให้ได้ขั้นต่ำ 30 ตัว โดยใช้ Facebook Ads เพื่อให้ได้ยอดขาย 3 แสนบาท ในระยะเวลา 1 เดือน”
Inbound Marketing ใช้งบน้อย
แต่ใช้สมองในการคิดอย่างละเอียด
หลังจากทำความรู้จักกับ Inbound Marketing ไปกันในเบื้องต้นแล้ว จะเห็นได้ว่า เน้นการทำการตลาดโดยเทคนิคที่ต้อง คิด วิเคราะห์ รอบครอบ ทุกอย่างต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อผลลัพธ์ที่ดี และลดโอกาสพลาดให้น้อยที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ Inbound Marketing โดย Content Shifu