ทำความรู้จัก Inbound Marketing - การตลาดแบบแรงดึงดูด

Last updated on มิ.ย. 28, 2019

Posted on มี.ค. 13, 2019

การแข่งขันทางธุรกิจในปัจจุบัน มีทิศทางการเติบโตและการแข่งขั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับเทคนิคทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของออฟไลน์หรือออนไลน์ ที่มีหลากหลายกลยุทธ์ให้เลือกใช้ ซึ่งแต่ละกลยุทธก็จะมีที่มา แนวคิด วิธีการที่แตกต่างกันออกไป กระทั่งในช่วง 2 – 3 ปีหลังมานี้ หลายคนคงเริ่มได้ยินคำว่า “Inbound Marketing” กันบ่อยมากขึ้น

Inbound Marketing – การตลาดแบบแรงดึงดูด

การตลาดในรูปแบบดึงดูดให้ “กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย” เป็นฝ่ายเข้ามาหาแบรนด์ ผ่านการทำคอนเทนต์ที่เน้นคุณภาพ มีความน่าสนใจ และมีเนื้อหาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในเวลาที่ใช่ ผ่านแนวคิดการเปลี่ยน “คนแปลกหน้า” (Stranger) ให้กลายเป็น “ผู้ชื่นชอบแบรนด์” (Promotors)

ขั้นตอนการทำงานของ Inbound Marketing

Inbound Marketing จะมีอยู่ 4 ขั้นตอนหลัก ๆ คือ

1. Attract – ดึงดูด

ในขั้นแรก เริ่มจากการเปลี่ยน “คนแปลกหน้า” (Stranger) ให้กลายเป็น “ผู้เข้าชม” (Visitor) ของเรา ด้วยการทำคอนเทนต์ที่เน้นคุณภาพ สร้างคุณค่า และมีเนื้อหาตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ

2. Convert – เปลี่ยนสถานะ

เมื่อ “ผู้เข้าชม” (Visitor) เข้ามายังแพลตฟอร์มของแบรนด์แล้ว แบรนด์ต้องเปลี่ยนสถานะของเขาให้กลายมาเป็น “คนรู้จัก” ผ่านเทคนิค Lead Generation หรือการให้ข้อมูลที่แบรนด์ต้องการ เช่น ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว โซเชียลมีเดียที่ใช้เป็นประจำ ฯลฯ

3. Close – ปิดการขาย

หลังจากเปลี่ยนสถานะมาเป็นคนรู้จักแล้ว อย่าเพิ่งเร่งให้เขาเปลี่ยนมาเป็นลูกค้า เพราะไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะเป็นลูกค้าในตอนนี้ แบรนด์ต้องค่อย ๆ กระตุ้นด้วยคอนเทนต์ที่เน้นคุณภาพผ่านแพลนฟอร์มต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ จนพวกเขาเกิดความต้องการ กลายเป็น “ลูกค้าที่มีความมุ่งหวัง” (Leads) และเปลี่ยนสถานะมาเป็น “ลูกค้า” (Costumers) ในที่สุด

4. Delight – เพิ่มความพึงพอใจ

แม้เป้าหมายจะสำเร็จ เปลี่ยนคนแปลกหน้า กลายมาเป็นลูกค้าได้แล้ว หน้าที่ของแบรนด์ยังคงไม่จบเพียงเท่านั้น ควรมีการสานความสัมพันธ์ต่อกับพวกเขาไปเรื่อย ๆ ทั้งในออนไลน์และออฟไลน์ เช่น การทำคอนเทนต์พิเศษสำหรับลูกค้า เพื่อให้พวกเขากลายมาเป็น “ผู้ชื่นชอบแบรนด์” (Promotors)

ธุรกิจแบบไหนเหมาะกับ Inbound Marketing?

ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า Inbound Marketing ไม่ได้เหมาะกับทุกธุรกิจ เพราะต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 6 เดือน ไปจนถึง 1 ปี กว่าจะเห็นผลลัพธ์ ซึ่งธุรกิจที่เหมาะจะทำ Inbound Marketing คือธุรกิจที่ลูกค้าต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ ได้แก่ ธุรกิจให้คำปรึกษา, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจยานยนต์, ธุรกิจที่มีมูลค่าสูง, B2B ฯลฯ

คิดจะทำ Inbound Marketing

ต้องรู้จักตั้งเป้าหมายแบบ S.M.A.R.T

จะทำการตลาดต้องใช้วิธีที่ชาญฉลาด ต้องรู้จักตั้งเป้าหมาย ซึ่งกลยุทธ์ S.M.A.R.T เป็นการตั้งเป้าหมาย 5 ข้อ ได้แก่

S – Specific ต้องเป้าหมายให้เฉพาะเจาะจง
เช่น เปลี่ยนจากการตั้งเป้าหมายว่า “เดือนนี้จะขายเสื้อผ้าให้ได้เยอะ ๆ” เป็น “เดือนนี้จะขายเสื้อผ้าให้ได้ขั้นต่ำ 30 ตัว”

M – Measurable เพิ่มโอกาสทางการขาย
หลังจากที่วางเป้าหมายไว้แล้ว คุณสามารถเพิ่มโอกาสในการขายได้ โดยการใช้เครื่องมือออนไลน์ เช่น Facebook Ads, Google Adwords เข้ามาช่วย พร้อมตั้งเป้าหมายเพิ่มเข้าไปว่า “เดือนนี้จะขายเสื้อผ้าให้ได้ขั้นต่ำ 30 ตัว โดยใช้ Facebook Ads เพื่อให้ได้ยอดขาย 3 แสนบาท”

A – Achievable เป้าหมายเป็นไปได้จริง
การตั้งเป้าหมายในแต่ละขั้นตอน คุณต้องวางแผนและคำนึงด้วยว่า ต้นทุนที่มี ความพร้อมต่าง ๆ ศักยภาพทางการตลาด สามารถพาแบรนด์ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ ไหวหรือเปล่า

R – Relevant เป้าหมายต้องเกี่ยวกับธุรกิจ
การตั้งเป้าหมายเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ความจริงแล้วละเอียดอ่อน ซึ่งการเป้าหมายในแต่ละครั้ง ต้องมรความเกี่ยวข้องกับธุรกิจคุณด้วย เช่น ขายเสื้อผ้า เน้นกำไร ยอดขายที่ได้มา, ธุรกิจสื่อ เน้นยอดการเข้าถึงของผ้าเข้าชม

T – Time Bound เป้าหมายต้องมีระยะเวลา
การตั้งเป้าหมายที่ดี ควรมีกรอบระยะเวลาจำกัดที่ชัดเจน เช่น เดือนนี้จะขายเสื้อผ้าให้ได้ขั้นต่ำ 30 ตัว โดยใช้ Facebook Ads เพื่อให้ได้ยอดขาย 3 แสนบาท ในระยะเวลา 1 เดือน”

Inbound Marketing ใช้งบน้อย

แต่ใช้สมองในการคิดอย่างละเอียด

หลังจากทำความรู้จักกับ Inbound Marketing ไปกันในเบื้องต้นแล้ว จะเห็นได้ว่า เน้นการทำการตลาดโดยเทคนิคที่ต้อง คิด วิเคราะห์ รอบครอบ ทุกอย่างต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อผลลัพธ์ที่ดี และลดโอกาสพลาดให้น้อยที่สุด

Inbound Marketing

ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ Inbound Marketing โดย Content Shifu

trending trending sports recipe

Share on

Tags