Dune คือภาพยนตร์ที่แฟนหนังเรียกได้ว่าดัดแปลงยากมาก เพราะแม้นวนิยายต้นฉบับจะออกมาตั้งแต่ปี 1965 แต่ก็แทบไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จในการดัดแปลงสิ่งนี้มาเป็นหนังเท่ากับวีลเนิฟว์เลยสักครั้ง อะไรที่เป็นต้นตอของวิธีคิด และเทคนิคการทำงาน วันนี้ CREATIVE TALK จะพาไปไขรหัสความคิดของ เดอนีส์ วีลเนิฟว์ ผู้กำกับมหากาพย์ Dune
1. ไม่กังวลเรื่อง AI ใช้สมองแบบอัลกอริทึม
แม้ว่าเทคโนโลยี AI จะเข้ามามีบทบาทกับผู้คน แต่วีลเนิฟว์ก็เชื่อว่ามนุษย์เองก็เป็นเหมือนอัลกอริลิทึม เพราะในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์แล้ว เราต่างก็มีอัลกอริทึมในสมองด้วยกันทั้งสิ้น
ยิ่งในยุคนี้ ซึ่งเป็นยุคที่ความคิดสร้างสรรค์ถูกจำกัด นั่นทำให้สิ่งเดียวที่จะกอบกู้ศรัทธาของคนดูกลับมาสู่ภาพยนตร์ได้ก็คือ อิสรภาพ และการกล้าเสี่ยง เพราะสิ่งนี้จะนำมาซึ่งความแปลกใหม่ให้กับงานของเรา
สำหรับวีลเนิฟว์แล้ว การเอาชนะ AI จึงไม่ใช่ความสร้างสรรค์ที่โดดเด่น แต่การเปลี่ยนตัวเองเป็นอัลกอริทึม และสร้างสิ่งที่ผู้ชมไม่เคยเห็นมาก่อนนี่แหละคือ Key สำคัญ
2. เอาชนะความล้มเหลว ด้วยการยอมรับมัน
ก่อนมาสร้างหนัง Dune วีลเนิฟว์เคยเป็นผู้กำกับ Blade Runner 2049 ภาคต่อของหนังในตำนานอย่าง Blade Runner ซึ่งในขณะที่เขาสร้างนั้นใครต่างก็คิดว่า วีลเนิฟว์ต้องเป็นคนบ้าแน่ ๆ ถึงได้พยายามจะสร้างภาคต่อของหนังที่เป็นตำนานเมื่อ 35 ปีก่อน
แม้วีลเนิฟว์จะกังวล แต่ท้ายที่สุดเขาก็ต้องยอมรับความจริงว่า โอกาสที่จะ Blade Runner 2049 จะล้มเหลวก็มีสูงมาก เพราะเขาไม่เพียงต้องต่อสู้กับความมหัศจรรย์ทางเทคนิค แต่ยังต้องต่อสู้กับความหลัง ความทรงจำ และความรู้สึกที่หนังเรื่องนี้มอบให้ผู้ชมตลอด 35 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย
“เราต้องยอมรับความจริงว่าเราทำได้ แม้มันอาจจะล้มเหลว แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ลองทำมันลงไป และเมื่อเราทำ เราจะเป็นอิสระ” - เดอนีส์ วีลเนิฟว์
วีลเนิฟว์ได้กล่าวว่า เพื่อกำจัดแรงกดดันจากความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น เราต้องยอมรับว่า ความล้มเหลวสามารถเกิดขึ้นได้ จากนั้นก็ให้ความสำคัญกับความล้มเหลวน้อยลง และจงใส่ใจต่อการสร้างสรรค์ ซึ่งนั่นเป็นวิธีเดียวที่เราจะสามารถครีเอทีฟได้อย่างไร้ขอบเขต
3. นำวิธีการครีเอทีฟหนังสเกลเล็กมาใช้กับหนังสเกลใหญ่
วีลเนิฟว์เติบโตมาจากหนังอินดี้สเกลเล็ก ก่อนมาทำหนังที่มีสเกลใหญ่ และแม้ว่าเขาจะได้มากำกับหนังฟอร์มยักษ์ในปัจจุบันอย่าง Dune แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่วีลเนิฟว์ไม่เคยทิ้งมันไปก็คือ ‘จิตวิญญาณของผู้กำกับหนังอินดี้’
เขาสร้างหนังด้วยการให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังวิจัยตัวละครอย่างใกล้ชิด และถ่ายทอดฉากอย่างสวยงามออกมาเสมือนภาพยนตร์เป็นโรงละคร ซึ่งแต่ละฉากที่บรรจงสร้างออกมา ก็สร้างมาด้วยแนวคิดของความเป็นภาพยนตร์อินดี้ อาทิ การใช้สัญญะในหนัง หรือการถ่ายทำที่ใช้แสงเงากลบจุดที่ไม่เนียนของหนังเพื่อเซฟต้นทุน
เพราะวีลเนิฟว์ซื่อสัตย์ต่อรากฐานที่ทำให้เขาเป็นเขาอย่างทุกวันนี้ นั่นทำให้วีลเนิฟว์แทบจะเป็นผู้กำกับเพียงน้อยนิดของฮอลลีวูดที่ทำหนังแล้วไม่เคยได้รับคำวิจารณ์แย่เลย
4. เปลี่ยน Story Telling ให้กลายเป็นบทกวี
แน่นอนว่า Story telling คือสิ่งสำคัญในทุกศาสตร์ เพราะมันคือหัวใจสำคัญที่เชื่อมเป้าหมายกับเราให้เข้าใกล้กันมากขึ้น ซึ่งวีลเนิฟว์กล่าวว่า การที่คนไปดูหนังก็เพราะทุกคนประทับใจในความเป็นบทกวีของภาพ
กวีนิพนธ์ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของภาพยนตร์อย่างไม่ต้องสงสัย หากเราพูดคุยกับแฟนหนัง แต่ละคนก็จะมีฉากหรือช่วงเวลาสำคัญที่จำได้อยู่ในใจ เพราะฉากเหล่านั้นคือบทกวีที่ดึงคนไว้ให้ประทับจิตกับหนัง
Storytelling ของภาพยนตร์มีความหมายที่ลึกซึ้ง ซึ่งถูกควบคุมโดยการเคลื่อนไหวของกล้อง แสง การออกแบบ และองค์ประกอบที่สร้างความหมายที่มองไม่เห็น ซึ่งสำหรับวีลเนิฟว์แล้วสิ่งเหล่านี้คือบทกวี
5. ดึงคนให้มีอารมณ์ร่วมด้วยความตึงเครียด
วีลเนิฟว์เป็นที่รู้จักกันดี ในการสร้างความตึงเครียดที่ดึงดูดคนดู ถ้าเราได้ดูหนังเรื่อง Sicario ของเขา ก็จะพบว่าตัวละคร อยู่ในสถานการณ์อันตึงเครียดซึ่งผ่านไปได้ยากตลอดเรื่อง จนคนดูต้องเอาใจช่วยตลอดเวลา
วีลเนิฟว์กล่าวว่าองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของความตึงเครียดก็คือ เราต้องทำให้ผู้คนเชื่อมโยงกับการเล่าเรื่องผ่านจิตใต้สำนึก ฉะนั้นแล้วเราต้องทำให้เรื่องราวมีชีวิตขึ้นมา ไม่ว่าจะผ่านแสง อุปกรณ์ประกอบฉาก หรืออะไรก็ตามที่ทำให้รู้สึกเหมือนจริง
“เราต้องนำบางสิ่งมาใส่ในหนังเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเกี่ยวข้อง จากนั้นก็ให้เบาะแสกับพวกเขา เพื่อสร้างความสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งนั่นจะทำให้ผู้ชมประหลาดใจกับสิ่งตรงหน้า” เดอนีส์ วีลเนิฟว์
ภาพยนตร์ก็เหมือนเฉกเช่นธุรกิจอื่น มันคืออุตสาหกรรมที่ใช้การเล่าเรื่องกับความครีเอทีฟ มาเป็นดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาหา และบางครั้งการเรียนรู้วิธีคิดจากคนในอุตสาหกรรมนี้ ก็ทำให้เราเอาไอเดียมาต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจของเราได้
แปล เรียบเรียง: พีรพล สดทรัพย์
ที่มา
- Dune’s Denis Villeneuve Says ‘creativity Is Restricted’ In Hollywood
- Denis Villeneuve Says Hollywood ‘Is About Wall Street’ Now and ‘Creativity Is Restricted’: ‘Freedom and Taking Risks’ Will ‘Save Cinema’
- Denis Villeneuve Shares His Best Directing Advice
- The Cinematic Brilliance Of Denis Villeneuve: Exploring His Narrative Craftsmanship