ทำไม BYD ถึงกลายเป็นรถไฟฟ้าแห่งยุค

เรียนรู้ผ่านวิธีคิดจาก Wang Chuanfu ผู้สร้างนวัตกรรมเปลี่ยนโลก

Last updated on ธ.ค. 3, 2023

Posted on พ.ย. 22, 2023

รู้หรือไม่ว่าแบรนด์รถไฟฟ้าที่มาแรงที่สุดในปีนี้ คือแบรนด์อะไร ? แอบบอกใบ้เล็กน้อยว่าเป็นแบรนด์ที่มาจาก ‘ประเทศจีน’ 👇

เฉลย!!

🚗⚡ BYD แบรนด์รถไฟฟ้าคันนี้เติบโตเร็วที่สุดในปี 2023

จากการรายงานของ VISUAL CAPITALIST ที่จัดอันดับให้กับแบรนด์ทั่วโลกถึงมูลค่าของแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งมีหัวข้อการจัดอันดับหลายหมวดหมู่ โดยหนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจมาก ๆ ในปีนี้คือ ‘The Fastest Rising Brands in 2023’ คือแบรนด์ที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในโลก แม้แต่ apple, amazon, google ก็ยังไม่ติดท็อปของแบรนด์ที่มีอัตราการเติบโตสูง หรือรายได้สูงที่สุดในโลก

แต่กลับเป็นแบรนด์น้องใหม่มาแรงแบบฉุดไม่อยู่ในปีนี้คือ BYD (Build Your Dream) ที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่าบริษัทอื่นทั่วโลกถึง 57% และเป็นบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ชั้นนำของจีน ติดอันดับท็อป 1 แบบก้าวกระโดด ด้วยการมุ่งเน้นไปที่ EVs ราคาประหยัด ผู้คนส่วนใหญ่เอื้อมถึงและได้รับการสนับสนุนจาก Warren Buffett ทำให้กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวให้กับ Tesla ที่เป็นเจ้าตลาดก่อนหน้า


🚗⚡ ปูพื้นฐาน BYD 101 แบรนด์ผู้สร้างอนาคตแบบเข้าใจง่าย

BYD (บี-วาย-ดี) ก่อตั้งเมื่อปี 1995 โดยคุณ Wang Chuanfu (หวังชวนฟู) โดยบริษัทมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยี และระบบนิเวศพลังงานที่ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยสินค้าที่เป็นจุดเริ่มต้นคือ การผลิตแบตเตอรี่และผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน และหลังจากนั้นจึงมีการตั้งธุรกิจหลักแบ่งออกเป็น 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่

  • Automobile (รถยนต์)
  • New Energy (พลังงานใหม่)
  • Rail Transit (การขนส่งทางรถไฟ)
  • Electronics (อิเล็กทรอนิกส์)

เรียกได้ว่า BYD ไม่ทำแค่รถไฟฟ้า แต่ยังมีการพัฒนานวัตกรรมครบทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวัน


🚗⚡ ทำไมแบรนด์ BYD ถึงเติบโตเร็วแบบก้าวกระโดด

ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ BYD เติบโตเร็วแบบก้าวกระโดดมีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย แต่ถ้าเรามองกันที่ตัวแปรสำคัญเป็นเบอร์ต้น ๆ ที่ทำให้ทุกคนรู้จัก และกอบโกยความนิยมในการใช้รถไฟฟ้า ที่ในอดีตแทบจะพูดถึงกันน้อยมาก แต่ทำไม BYD ถึงสร้างปรากฎการณ์นี้ได้ ? 🤔

🌎 1. สร้างนวัตกรรมเปลี่ยนโลก Blade Battery

BYD ไม่ได้สำเร็จทันที พวกเขาผ่านความล้มเหลวมามากมาย แต่ด้วยวิสัยทัศน์อันแน่วแน่ของ Wang Chuanfu ยังคงลงทุนในการพัฒนานวัตกรรมและโมเดลใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพราะเขาเชื่อว่า “นวัตกรรมเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตของ BYD” และแล้ววันที่นวัตกรรมใหม่กำเนิดขึ้นคือ ‘Blade Battery’ นวัตกรรมเปลี่ยนโลกที่อธิบายแบบเข้าใจง่ายคือ แบตเตอรี่มีความต้านทานต่อความร้อนได้สูงกว่าแบตเตอรี่ทั่วไป และเพิ่มความปลอดภัยขั้นสูงหากเกิดการชนรถจะไม่ระเบิด และวิ่งได้ไกลมากถึง 500 กิโลเมตรต่อการชาร์จพลังงานหนึ่งครั้ง ทำให้แบตเตอรี่ชนิดนี้จะเปลี่ยนมาตรฐานวงการรถยนต์ไฟฟ้าอย่างก้าวกระโดด จนถึงขั้น Elon Musk ให้ความสนใจและนำไปใช้ใน Tesla

🌎 2. ราคาจับต้องได้ และเพิ่มทางเลือกได้แตกต่างกว่าเจ้าอื่น

สิ่งที่ทำให้ BYD เข้าถึงคนหมู่มากทั่วโลกคือการมี ‘ตัวเลือก’ หรือรุ่นรถไฟฟ้าที่หลากหลาย ทำให้ตัวเลือกในการเลือกซื้อมีหลายราคา หลายความต้องการ เช่น ใครที่อยากเริ่มต้นซื้อรถไฟฟ้าก็รถราคาหลักแสน หรือ ราคาแตะล้านต้น ๆ เพราะหากมาดูรถไฟฟ้าอย่าง Tesla ราคาจะกระโดดสูงและเริ่มต้นที่หลักล้านเท่านั้น

🌎 3. ไม่ได้มองแค่ปัจจุบัน แต่มองถึงอนาคตที่จะขึ้น

หนึ่งใน Secret to Success ของ BYD คือเป้าหมายที่เชื่อมั่นอันแรงกล้าว่า ‘แบตเตอรี่จะเป็นแหล่งพลังงานหลักของทุกสิ่งในอนาคต’ โดยเริ่มต้นจากการเป็นน้องใหม่ในวงการยานยนต์ ที่ขยายธุรกิจไปสู่กับการผลิตรถยนต์ในปี 2008 ซึ่งรถคันแรกของ BYD คือ F3 ซึ่งเป็นรถมินิคาร์สุดเรียบง่ายที่มีเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตรและขายในราคาเพียง 40,000 หยวน (ราคาไทยราว ๆ 200,000 กว่าบาท / ไม่รวมภาษีนำเข้า) ด้วยการเป็นผู้ที่ผลิตชิ้นส่วน และเทคโนโลยีภายในรถได้ทั้งหมด จึงตั้งราคาที่ไม่แรง ซึ่งทำให้รุ่นพี่ในวงการอย่าง Toyota และ Honda แอบสั่นคลอนอยู่ไม่น้อย

รวมไปถึงความนิยมในปีที่ผ่านมาก็เติบโตเร็วแบบก้าวกระโดดอย่างแท้จริง จากข้อมูลของเว็บไซต์ Statista ได้เผยตัวเลขรายได้ของ BYD ตั้งแต่ปี 2010 - 2022 พบว่าในปี 2022 ที่ผ่านมามีรายได้มากถึง 424.06 แสนล้านหยวน เพิ่มสูงขึ้นถึง 96.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และจากข้อมูลของ bloomberg ได้รายงานตัวเลขการเติบโตในปี 2023 กำไรไตรมาสสองพุ่งขึ้น 145% โดยมีรายรับสุทธิเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าเป็น 6.8 พันล้านหยวน (930 ล้านดอลลาร์) หลังจากที่บริษัทขายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยขายไปแล้วทั้งสิ้นมากถึง 700,000 คันในช่วงไตรมาสสอง

การเติบโตของ BYD ไม่ได้โตอย่างก้าวกระโดดมาตั้งแต่แรก แต่เป็นการโตแบบค่อยเป็น ค่อยไป และลงทุนให้กับการวิจัย พัฒนาแบตเตอรี่ และส่วนประกอบต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต ควบคู่ไปกับระหว่างทางก็ยังคงผลิต รถยนต์ไฮบริด (รถน้ำมัน+ไฟฟ้า) ในการแทนที่รถยนต์ที่กินน้ำมันเบนซินอย่างค่อยเป็นค่อยไป และในท้ายที่สุดก็ยุติการผลิตในเวลาต่อมา เพราะมองเห็นเทรนด์แล้วว่าในอนาคตอันใกล้รถยนต์ไฟฟ้ามาแน่นอน จึงทำให้ BYD มีความพร้อมมาก ๆ ในการเดินหน้าแบบเต็มสูบได้ทันที


และนี่คือส่วนหนึ่งของสำเร็จของแบรนด์ BYD ที่มีจุดเริ่มต้นในการทำสิ่งที่ตัวเองถนัดจนต่อยอดมาเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลก ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้รถไฟฟ้า สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่มองเห็นโอกาสสามารถเปลี่ยนโลกได้ ลองนำไอเดียจากการอ่านในครั้งนี้ไปมองหาการต่อยอดใหม่ ๆ ให้กับงาน หรือธุรกิจของเพื่อน ๆ ดูน๊า 😊 👍


แปล เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ

ที่มา

trending trending sports recipe

Share on

Tags