การเปลี่ยนชื่อจาก facebook มาเป็น Meta กลายเป็นประเด็นที่ทั่วโลกต้องหันมาให้ความสนใจ ทั้งในเรื่องของบริษัท Social Media ยกระดับองค์กรใหม่แบบเต็มตัว รวมไปถึงความตื่นตัวต่อโลก Metaverse
เพื่อให้ชาว CT เห็นความไปได้และโอกาสที่รออยู่อีกมากมาย เราเลยชวน Speaker CTC มาพูดถึงเรื่อง Metaverse และการขยับตัวครั้งนี้ของ facebook กันครับ
เก่ง — สิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม CEO of rgb72 and Founder of CREATIVE TALK
“การปรับตัวของ facebook ทำให้เราเห็นว่า แม้แต่บริษัทระดับโลกที่มีผู้ใช้งานมากมายก็ต้องปรับตัว และการปรับตัวครั้งนี้ไม่ใช่แค่บอกวิสัยทัศน์ แต่เป็นการทำให้เห็น”
facebook ให้ความสำคัญกับเรื่อง Metaverse มานานแล้ว เราเริ่มเห็นเขาทำแว่น VR, ทำสกุลเงินดิจิตัล เพราะเขาเข้าใจมานานแล้วว่าวันหนึ่ง Social Network ในแบบที่เราใช้อยู่อาจจะไม่เป็นแบบนี้ตลอดไป และมันจะถูกเปลี่ยนแปลงไปในแบบของ “โลกคู่ขนาน”
การปรับตัวของ Facebook ทำให้เห็นสองเรื่อง
- Metaverse ไม่ใช่แค่คำเท่ ๆ อีกแล้ว เขารู้ว่าโลกกำลังจะไปทางนี้ มันไม่ใช่เรื่องของเกมสำหรับเด็กหรือโลก 3 มิติหวือหวา แต่มีความเป็นไปได้สูงที่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราทุกคนจะต้องเดินไปทางนี้ ใช้ชีวิตและทำงานทางนี้
- ทำให้เห็นว่า Facebook อาจจะต้องการรวบผู้คนบนโลกไว้อีกครั้ง แม้ว่าวันนี้เขาจะมีผู้ใช้งานใน facebook จำนวนมาก แต่เขารู้ว่าถ้า Metaverse มาจริง ผู้คนอาจจะหายไป เพราะคนยุคใหม่จะไม่เข้ามาส่วนคนยุคเก่าก็จะจากไป การที่เขาต้องการเป็น “ศูนย์กลาง” ของโลก Metaverse คือการที่เขาต้องการย้ายผู้คนให้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่นั่นเอง
การเปลี่ยนชื่อจาก facebook เป็น Meta จึงเป็นการปักหมุดและสร้างแรงสั่นสะเทือนให้โลกเห็นว่า facebook เอาจริง และ Metaverse ไม่ใช่แค่ Project ธรรมดาๆ แต่เป็นวิชั่นใหม่ของบริษัท
ดังนั้น เราในฐานะผู้ประกอบการ เราต้องมองไปข้างหน้า ปรับตัวให้ทัน วันนี้ถ้าเรายังไม่รู้จัก เราต้องทำความรู้จักได้แล้ว และวันนี้เราอาจจะต้องเริ่มจินตนาการได้แล้วว่า ถ้าอีก 5-10 ปีข้างหน้า Metaverse มีบทบาทสำคัญ ธุรกิจของเราจะต้องปรับตัวอย่างไรต่อไปครับ
สโรจ เลาหศิริ Head of Marketing Transformation and Marketing Strategy at Bluebik Group
ส่วนตัวผมอยากเห็นเรื่องของ Surprise Reality คือการทำให้เรารู้สึกเหนือคาดกับความจริงใหม่ที่อาจจะดีกว่าเดิมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะถ้า Meta ทำได้เพียงแค่ในระดับที่เราเองก็นึกออก ผมว่าไม่นานความน่าตื่นเต้นตรงนี้ก็จะหายไป ดังนั้นการสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ยากจะลืม และอยากจะลองต่อในครั้งต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ดูจะเป็นสิ่งที่ท้าทายกว่า และน่าติดตามครับ
เรื่องต่อมาคือ Meta จะสร้าง Community รูปแบบไหนในโลกของ Metaverse? คุณจะมีธีการจัดการอย่างไรให้ไม่เกิดปัญหาเรื่องของ Toxic ต่างๆ เพราะในปัจจุบันเรายังพบเจอแค่ในรูปแบบ 2D ของข้อความ รูปภาพ หรือภาพเคลื่อนไหว แต่เมื่อคุณเข้าไปสู่โลกเสมือนแล้ว Toxic จะมาในรูปแบบ 3D
การที่เราสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้มากขึ้น ในอีกมุมหนึ่งก็แปลว่าเราสามารถทำร้ายคนกันได้มากขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน
เรื่องสุดท้าย คือทาง Meta จะยินดีให้มีแบรนด์อื่นมีส่วนร่วมกับโลกนี้ของเขาแค่ไหน คุณจะยืนเดี่ยวเลยหรือเลือกที่จะเปิดกว้างให้ทุกคนได้เข้าถึงโลกอื่นด้วย คุณจะมีการแบ่งพื้นที่ตรงนี้อย่างไร และจะมีเงื่อนไขอะไรในการผ่านไปยังอีกโลกที่ว่า เพราะอย่างที่รู้ว่าไม่มีทางที่ Meta จะถือครองโลกทั้งใบไว้ได้คนเดียวอยู่แล้ว
แต่สุดท้ายแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของ facebook ได้บอกให้เรารู้แล้วว่าเรื่องของ Metaverse ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป นักธุรกิจและนักการตลาดต้องให้ความสนใจกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น และเริ่มคิดถึงโอกาสใหม่ๆ บนโลกอีกใบนี้แล้วครับ
คุณพงษ์ปิติ ผาสุขยืด Founder and Creator of Ad Addict
เรื่องแรกผมคิดว่าอยากเห็น Device ใหม่ๆ ในราคาเข้าถึงได้ของ Meta ที่เปิดโอกาสให้คนสัมผัสประสบการณ์ Metaverse ได้อย่างแท้จริงก่อน เพราะนี่น่าจะเป็นหัวใจสำคัญในขั้นแรก
หลังจากนั้นด้วยความที่ Ad Addict ทำคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับโฆษณา ผมเลยอยากเห็นแคมเปญเจ๋ง ๆ จากแบรนด์ที่เลือกใช้โอกาสนี้สร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ แต่ก็ยังคงตอบโจทย์ธุรกิจอยู่ครับ
สุดท้ายคือส่วนตัวอยากเห็นร่าง Avatar ของตนเองในโลก Metaverse ที่สามารถใช้ชีวิตแห่งอนาคตได้อย่างเต็มรูปแบบ คงน่าตื่นเต้นมากๆ เลยครับ
สุธัม ธรรมวงศ์ Head of Experience Designer ที่ Bitkub และ เจ้าของเพจ “หมีเรื่องมาเล่า”
เอาตามมุมมองผมนะครับ ผมคิดว่าทุกอย่างมันมี Timing ของมันอยู่ มันคงอาจจะไม่ได้ปุบปับใน 1-2 ปีนี้ว่าเราจะเห็นคนทั้งโลกไปสู่โหมด Meta กันหมด
ส่วนที่สำคัญมากๆ ในมุมมองผมคือ ผู้ใช้งานจะเริ่มใช้งานสิ่งนี้ได้ยังไง การใช้งานง่ายยากขนาดไหน และสิ่งนี้เข้าถึงคนได้มากขนาดไหน และเราาควรใช้งานต่อเนื่องด้วยความถี่ขนาดไหน อุปกรณ์มันเหมาะกับทุกคนจริงหรือเปล่า
เพราะถ้าเรามองในมุมกลับอีกด้าน สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมเข้าถึงเทคโนโลยีตรงนี้ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องของราคา จุดนี้จะทำให้เกิดประเด็นความเหลื่อมล้ำในสังคมไหม และมันจะลุกลามไปถึงระดับการศึกษาด้วยหรือเปล่า
แต่สิ่งที่น่าใจหายสำหรับผม คงเป็นเรื่องของการสัมผัสกันในโลกความจริง เพราะหามันต้องลดลงไปเรื่อยๆ แต่กลับตอบโจทย์อื่นที่จะสร้างประโยชน์แก่สังคมมากกว่า เช่น การเกิดขึ้นของโลกเสมือนจริงนี้ สามารถช่วยลดการติดเชื้อไวรัสได้, การเดินทางที่ลดลงก็สามารถช่วยทำให้ Carbon Footprint น้อยลงตามลงไปด้วย
เรื่องต่อมาอาจจะเป็นเรื่อง Privacy Data, Regulation หรือข้อกำหนดกฏหมายต่างๆ ที่ต้องคิดถี่ถ้วนมากขึ้น เพราะแต่เดิม facebook เองมีประเด็นเรื่องนี้มาหลายครั้งมากๆ เรื่องนี้คงถูกจับตามองมากขึ้นว่าจะดูแลผู้ใช้งานอย่างไงบ้าง และเทคโนโลยีนี้มันจะมีช่องโหว่อะไรอีกหรือเปล่า หากเกิดกรณีอย่าง การโดนแฮคบนโลกเสมือน
ความเห็นของผมเลยเป็นเรื่องว่า หากทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริง เราจะรับมือกับเรื่องเหล่านี้กันอย่างไร?
คุณณัฐพล ม่วงทำ เจ้าของเพจ “การตลาดวันละตอน” และ อาจารย์วิชา Data-Driven Communication ที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
ผมคิดว่านี่เป็นก้าวสำคัญของ facebook เลยล่ะครับ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความตื่นเต้นไปทั่วทั้งโลก และรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เป็นสิ่งที่ยืนยันได้เลยกับคำพูดที่ว่า “เราจะไม่ยอมให้ใครมา Disrupt เรา เพราะเราจะ Disrupt ตัวเองก่อน”
นอกจากนี้ มันยังทำให้ความสงสัยของใครหลายคนที่รู้สึกต่อ Metaverse ว่าสิ่งนี้ “อาจจะ…” เป็นสิ่งที่จะมาในอนาคต แต่เมื่อเราเห็นการทุ่มสุดตัวของ facebook แล้วก็เป็นเครื่องยืนยันได้เลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ใช่แค่เทรนด์อีกต่อไปแล้ว
ทั้งนี้ ก็ต้องบอกว่าการที่ทำอะไรเป็นคนแรกก็เป็นเรื่องยากเสมอ แต่ถ้าเกิดทำสำเร็จ พวกเขาก็จะยึดครองตลาดได้เหมือนที่ facebook ทำได้ในปัจจุบัน
อีก 2 สิ่งที่น่าสนใจคือ Metaverse ที่อยู่ในระบบ Blockchain คุณจะควบคุมหรือบริหารเรื่องนี้อย่างไร และอีกเรื่องคือคุณจะสร้างรายได้อย่างไร เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะเป็น facebook หรือ Meta ต่างก็เป็นองค์กร ต้องหาเงินมาจ่ายเงินค่าพนักงานและอะไรอื่นๆ คุณจะมีโมเดลในการหารายได้อย่างไร นี่เป็นสิ่งที่ผมสนใจ
ผมคิดว่าแบรนด์และนักการตลาดต้องมาสนใจในเรื่องของ Blockchain และ Metaverse ให้จริงจังมากขึ้นแล้วล่ะครับ ต้องมาคิดมาลองแล้วว่าธุรกิจของเราในตอนนี้ สามารถทำอะไรได้อีกบ้าง เพื่อรับมือกับอนาคตที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้แล้ว
ดังนั้นแล้ว เริ่มแต่วันนี้ดีที่สุดครับ