🎓 การเรียนรู้ที่แท้จริงเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ “ผู้เรียนรู้สึกเป็นเจ้าของการเรียนรู้” เพราะเด็กทุกคนมีศักยภาพ และควรได้เรียนรู้ในแบบที่เขาเลือกเอง
ผู้ใหญ่ในวันนี้ ก็เคยเป็น ‘เด็ก’ มาก่อน ในอดีตเราอาจคุ้นเคยกับระบบการศึกษาแบบ “ครูสอน และนักเรียนฟัง” แต่นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน Carl Rogers ผู้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกแนวคิดด้าน “Humanistic Psychology” หรือจิตวิทยาที่เกี่ยวกับศักยภาพของบุคคล เชื่อว่า! การเรียนรู้ที่แท้จริงเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อผู้เรียนรู้สึก เป็นเจ้าของการเรียนรู้นั้นเอง
Carl Rogers เรียกแนวคิดนี้ว่า Person-Centered Approach หรือ การศึกษาแบบยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-Centered Learning) โดยครูมีบทบาทเป็นผู้เอื้อให้เกิดการเรียนรู้ ไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดความรู้เพียงฝ่ายเดียว
“เด็กทุกคนมีศักยภาพในการเติบโตและพัฒนาได้อย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่เนื้อหาวิชา แต่คือ การเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ ผ่านความสัมพันธ์ในห้องเรียน ถ้าได้รับความเข้าใจและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้”
โดย Carl Rogers ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างครูและนักเรียน เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่เอื้อต่อการเติบโตด้านอารมณ์ สังคม และสติปัญญา โดยเฉพาะแนวคิดหลัก ได้แก่
- สภาพแวดล้อมของการเรียนรู้สำคัญ มีความเห็นอกเห็นใจ
- การไม่ชี้นำ หรือ ความสัมพันธ์แบบไม่ตัดสิน โดยยอมรับความแตกต่าง
- การเปิดโอกาสให้เลือกเรียนในแบบของตัวเอง
- การเรียนรู้ที่เกิดจากความรู้สึกปลอดภัย และมีคุณค่าในตนเอง
- ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
- ประเมินความก้าวหน้าและปรับกลยุทธ์การสอนให้สอดคล้องกัน
🎓 เราทุกคนไม่ได้เรียนรู้ด้วยรูปแบบเดียวกัน ยิ่งเข้าใจสไตล์ของตัวเอง จะช่วยให้เรียนรู้ได้เร็วขึ้น สนุกขึ้น และใช้ได้จริงมากขึ้น
ดังนั้นการจะเลือกให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ในสถาบันการศึกษาสักที่ เป็นเรื่องที่มีความท้าทายไม่น้อยของคุณพ่อ คุณแม่ยุคใหม่ โดยมีหนึ่งในเคสตัวอย่างที่น่าสนใจ ของโรงเรียนนานาชาติ D-PREP International School ที่อาจจะเป็นข้อมูลพิจารณาที่ดี ในการทำความเข้าใจว่า “ทำไมการเลือกสถาบันการศึกษาในยุคนี้ถึงสำคัญมาก!”
D-PREP เชื่อว่าเด็ก ๆ จะเกิดการเรียนรู้อย่างยั่งยืน และเกิด Life Skills จึงออกแบบการเรียนรู้ที่พร้อมจุดประกายความฝัน แรงบันดาลใจ และทักษะชีวิตอื่น ๆ นอกเหนือจากเรื่องวิชาการ แบบ “Dream, Discover, and Deliver” ในบรรยากาศที่อบอุ่น Supportive และใกล้ชิดกับธรรมชาติ รวมไปถึงปรัชญาการศึกษาก็ยังมุ่งเน้น การเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง
แน่นอนว่า ‘หลักสูตร’ คือหัวใจสำคัญของโรงเรียน และ D-PREP ก็ออกแบบมาอย่างรอบด้าน เพื่อให้เด็กแต่ละช่วงวัยได้รับการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับพัฒนาการของตัวเองอย่างแท้จริง โดย D-PREP เป็นโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอเมริกัน ที่ยึดตามมาตรฐาน CCSS (Common Core State Standards) พร้อมผสานแนวคิดการสอนระดับโลก เพื่อสร้างผู้เรียนที่มีทักษะรอบด้าน พร้อมเติบโตในโลกยุคใหม่อย่างมั่นใจ
แต่ละช่วงวัยมีแนวทางการสอนที่แตกต่างกันอย่างเหมาะสมดังนี้
-
Early Years (ปฐมวัย): ใช้แนวทาง Reggio Emilia Inspired Approach ที่เน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่น การสังเกต และการทดลองตามความสนใจของเด็ก
-
Primary School (ประถมศึกษา): ใช้แนวทาง IB PYP (International Baccalaureate Primary Years Programme) ที่เน้นการปลุกความสงสัย คิดอย่างเป็นระบบ สร้างความเข้าใจในโลกผ่านหน่วยการเรียนรู้ข้ามวิชา
-
Secondary School (มัธยมต้นและปลาย): ใช้แนวทาง Expeditionary Learning และ Experiential Learning ที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านโครงการจริง ลงมือทำ และคิดวิเคราะห์ในชีวิตจริง
จุดเด่นของ D-PREP คือการนำแนวทางการเรียนรู้มาตรฐานระดับโลกมาผสมผสานกับการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ เพื่อสร้างผู้เรียนที่ "กล้าคิด กล้าทำ และกล้าสร้างสิ่งใหม่" อย่างมีความหมายในการนำไปใช้ในชีวิตจริง
เรียกง่าย ๆ ว่า D-PREP ใช้หลักสูตรอเมริกันเป็นตัวกำหนดเป้าหมายในแต่ละเทอม ว่านักเรียนควรจะเกิดทักษะการเรียนรู้ หรือเกิดพัฒนาการในด้านใดบ้าง ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานของ Common Core State Standards (CCSS) จาก USA แต่วิธีการสอนในแต่ละ Key Stages (ช่วงชั้น) จะแตกต่างกันออกไป เพื่อให้เหมาะสมกับธรรมชาติของการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ในแต่ละช่วงวัย
🎓 แต่สิ่งที่ทำให้ D-PREP แตกต่างจากโรงเรียนนานาชาติอื่น ๆ คือเรื่องของ “ทักษะการใช้ชีวิต (Life Skills)” ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญของเด็กยุคใหม่ ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
วิชาความรู้ก็สำคัญ แต่คำว่า ‘ทักษะ’ สิ่งนี้จะติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต ดังนั้นการเน้นสร้าง Life Skills จึงมีบทบาทสำคัญไม่แพ้วิชาความรู้ได้เลย ลองคิดภาพตามว่า คุณครูทั่วไปส่วนใหญ่มักคาดหวังว่าเด็กจะต้องได้ดี แต่ถ้าเด็กคนนั้นใจเขาเป็นทุกข์อยู่ เขาอาจจะไปเจอสถานการณ์ที่ทำให้เศร้า ทุกข์ได้ การเรียนรู้ก็จะตกลง พอการศึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้สอนให้เด็กเข้าใจชีวิต เข้าใจที่จะเรียนรู้กับความผิดหวัง เมื่อมันกระทบทุกอย่าง อะไร ๆ ก็จะไม่ดีสักอย่าง
ดังนั้น Life Skills จึงสำคัญมาก เพราะจะทำให้เด็กรู้เท่าทันตัวเอง ถ้าเจอปัญหาแบบนี้ จะแก้อย่างไร ถ้าเจอความรู้สึกไม่ดีแบบนี้เด็กจะรู้ว่า ‘ตัวเด็กจะเปลี่ยนความรู้สึก เปลี่ยนวิธีคิดอย่างไร ให้ตัวเองหายดี’
หรือพร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะที่เป็นวัคซีนให้กับเด็ก ๆ เพราะในวันที่เขาจบออกไป เด็กเหล่านี้จะสามารถแก้ไขได้ในชีวิตประจำวัน ที่มากกว่าแค่ในโรงเรียน
เพราะการฝึกพลาดที่จะเรียนรู้ จะทำให้เราไม่กลัวผิด เพราะผิด ไม่ได้เท่ากับ ไม่โอเค แต่คนที่กลัวผิด คือคนที่ไม่เคยได้เรียนรู้
🎓 แน่นอนว่าการจะค้นพบทักษะสำคัญเหล่านี้ ทาง D-PREP จึงได้สรุปออกมาเป็น 5 เส้นทางสู่การค้นพบตัวเอง เพราะการเรียนรู้ที่แท้จริง...ไม่ได้มีแค่ผลคะแนน แต่ต้องวัดจากการให้เด็กรู้จักตัวเอง
1. ไม่ใช่แค่เรียน….แต่ค้นพบศักยภาพตัวเอง
ที่ D-PREP สอนทักษะชีวิต (Life Skills) ที่สำคัญเพื่อให้เด็กสามารถประสบความสำเร็จได้ทั้งในและนอกห้องเรียน นักเรียนจะได้พัฒนาทักษะด้านอารมณ์ การรู้จักตนเอง ความสามารถในการดูแลตนเอง การเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมในสังคม และเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง เน้นการพัฒนารอบด้าน เพื่อให้เด็กมีความมั่นใจและทักษะที่จำเป็นสำหรับโลกในศตวรรษที่ 21
โดยหลักสูตรเสริมทักษะชีวิตของ D-PREP เป็นหลักสูตรเฉพาะที่ออกแบบโดยรวมองค์ประกอบ 4 ด้านเข้าด้วยกัน ได้แก่
1.1 การทำความเข้าใจตนเอง
เพื่อพัฒนาทัศนคติเชิงบวก และควบคุมพฤติกรรมของตัวเอง
1.2 ความเข้าใจสังคม หรือรู้จักผู้อื่น
โดยการพัฒนาความสัมพันธ์เชิงบวกกับผู้อื่น ผ่านพฤติกรรมที่เป็นที่ยอมรับของ สังคม และความเข้าใจว่าการกระทำจะส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไร
1.3 การดำเนินชีวิต โดยทำความเข้าใจโครงสร้างทางสังคม และธุรกิจเพื่อพัฒนาทักษะการทำงานร่วมกันและการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ
1.4 การเป็นพลเมืองที่รับผิดชอบต่อสังคม
โดยเรียนรู้ที่จะใช้พรสวรรค์และทักษะ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกสำหรับตนเองและชุมชน ผ่านการฝึกประสบการณ์จริง
พร้อมเสริมด้วยวิสัยทัศน์ “ Dream, Discover, and Deliver” และค่านิยม “CO-CREATORS” ยกตัวอย่างเช่น การเรียนรู้ผ่าน Life Skills Framework อย่างเครื่องวัดอารมณ์ เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้เด็ก ๆ จดจำและรับรู้อารมณ์ของตนเองได้ โดยการระบุอารมณ์เด็ก ๆ จะเข้าใจได้ดีขึ้นว่าทำไมพวกเขารู้สึกแบบนั้นและตอบสนองอย่างเหมาะสม หรือ ให้เด็ก ๆ ได้ออกไปฝึกภาคสนามจริง, ฝึกสมาธิ และอื่น ๆ อีกมากมายที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างทักษะการใช้ชีวิต เพื่อให้รับมืออย่างเท่าทันในยุคปัจจุบัน และในอนาคต
2. ไม่ใช่แค่เรียน….แต่ต้องแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
อีกหนึ่งการค้นพบตัวเองที่สำคัญคือเรื่องของ Design Thinking นักเรียน D-PREP เรียนรู้การใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) เพื่อเป็นผู้แก้ปัญหาที่คิดถึงผู้อื่นและสร้างสรรค์ โดยเด็ก ๆ จะได้ฝึกมองปัญหาด้วยความเข้าใจ เรียนรู้การประยุกต์ความรู้ให้เกิดไอเดียใหม่ และสร้างทางออกที่มีความหมายต่อสังคมรอบตัว
Design Thinking หรือ การคิดเชิงออกแบบเป็นกระบวนการที่ไม่เป็นเส้นตรง แต่เกิดจากการทำซ้ำ ๆ ซึ่งนักเรียนใช้เพื่อให้เข้าใจผู้ใช้งาน, ท้าทายสมมติฐานเดิม วิเคราะห์ปัญหาซ้ำ ๆ และพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ค้นพบ ให้กลายเป็นต้นแบบ แล้วทดสอบ โดยที่ D-PREP พัฒนากระบวนการ 6 ขั้นตอน เพื่อใช้เรียกกระบวนการคิดเชิงออกแบบ ได้แก่ Dream, Define, Discover, Develop, Deliver และ Determine
โดยเครื่องมือนี้ทำให้นักเรียนสามารถติดตามกระบวนการออกแบบได้อย่างแท้จริง ขึ้นอยู่กับประเภทของการใช้งาน โดยนักเรียนจะใช้วัสดุที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความรู้ ทักษะของนักเรียนและความต้องการของโปรเจกต์ต่าง ๆ ที่พวกเขาเลือกทำ
3. ไม่ใช่แค่เรียน….แต่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
โดย D-PREP ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง หรือ การเรียนรู้แบบลงมือทำ (Experiential Learning) นักเรียนจะได้มีส่วนร่วมในการสร้าง ทดลอง ทบทวน และประยุกต์ใช้ความรู้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้เข้าใจลึกซึ้งและฝึกฝนทักษะที่คงอยู่กับตนเองไปในระยะยาว นักเรียนจะได้เรียนรู้จากกรณีศึกษา ลงมือทำโปรเจกต์และงานวิจัย พบกับผู้เชี่ยวชาญ และได้รับโอกาสในการนำเสนอผลงานอีกด้วย โดยโปรเจกต์เหล่านี้จะมอบโอกาสให้นักเรียนได้ฉายแวว ทั้งในด้านการรังสรรค์ผลงาน ความเก่งกาจ และด้านความเป็นผู้นำ
โดยที่ D-PREP ก็ได้มีการเตรียมการให้เหมาะสมกับทุกระดับชั้น ตั้งแต่
3.1 Inquiry-based Learning
โดย Inquiry-based Learning มาจากแนวคิด IB PYP ซึ่งเป็นการเรียนรู้ธีม หัวข้อใหญ่ ๆ โดยมีเด็กเป็นศูนย์กลาง พวกเขาจะได้ระดมความคิดและเลือกว่าอยากเรียนรู้เรื่องอะไรในประเด็นนั้น ๆ ซึ่งระหว่างทางจะมีคุณครูเป็นเหมือน Guide/Facilitator ซึ่งจะเป็นการเรียนกึ่งทดลอง ผ่านการตั้งคำถาม ค้นหาคำตอบ ทดลอง สรุปผล และนำเสนอ ช่วยให้เด็กเกิด Critical Thinking ความมั่นใจ และสนุกไปกับการเรียนรู้ ในระดับชั้นเตรียมอนุบาล (Nursery) ชั้นอนุบาล (Kindergarten) และ ชั้นประถม (Primary School)
โดยในระดับเตรียมอนุบาล และอนุบาล ที่ D-PREP นอกเหนือจากแนวทาง IB PYP ทางโรงเรียนยังได้ใช้แนวทางแบบ Reggio Emilia ที่เน้นเรื่องการมีเด็กเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ รวมถึงการเรียนรู้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ พร้อมฝึกให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะหลากหลายด้าน
เช่น ฝึกการสังเกต, ฝึกตั้งคำถาม ทำให้ผู้เรียนรู้สึกมีความสนุกและชื่นชอบการมาโรงเรียน รวมไปถึงในระดับประถม ที่ D-PREP ได้ออกแบบหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้สนุกกับการได้ทดลองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวด้วยตัวเอง โดยหลักสูตรนี้ผู้เรียนได้ลงมือทำจริง เรียนรู้ผ่านประสบการณ์เพื่อค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบและพัฒนาศึกษาต่อยอดในการเรียนขั้นต่อไป
3.2 Expeditionary learning
Expeditionary learning จะเป็นเหมือนการขยายการเรียนรู้ที่กว้างมากขึ้น นอกเหนือจากในห้องเรียน โดยเริ่มต้นในระดับชั้นมัธยม (Middle School) ในระดับมัธยม ได้ออกแบบหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้มีการเรียนการสอนด้วยแนวทาง Expeditionary Learning Approach (EL) ยังเป็นโรงเรียนแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ใช้แนวทางนี้มาใช้ในเด็ก Middle School ซึ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เชิงประสบการณ์ผ่านการค้นคว้า, ทดลอง ออกแบบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่สามารถใช้งานได้จริง
และผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาในหัวข้อที่ตนเองสนใจ รวมไปถึงได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนชุมชน โดยมีผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ, คุณครู ตลอดไปจนทีมงานที่จะคอยดูแลใกล้ชิดให้คำแนะนำตลอดโครงการให้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้เชิงลึกอย่างบูรณาการ
โดยแนวทาง Expeditionary Learning Approach (EL) ในเด็ก Middle School นี้ถือเป็นการเรียนรู้จากการได้ทดลองทำจริง ลงมือทำจริง และนำไปใช้ในผู้ใช้จริง
เพื่อพัฒนาชุมชนที่มีอยู่จริง รวมไปถึงได้พัฒนาแนวความคิดและมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากคุณครู และทีมงานผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นจริง เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ใหม่ ๆ เพื่อทักษะชีวิตที่มีคุณภาพ ซึ่งถือว่าเป็นหลักสูตรที่มีความทันสมัยและสอดคล้องกับการนำไปประยุกต์ใช้กับโลกในปัจจุบัน หรือแม้แต่ในระดับ High School เอง ก็จะมีการไป Field Trip ที่ต่างประเทศ มี Internship ให้ได้ทดลองงานจริง ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ นักเรียนจะได้สวมบทบาทในหน้าที่ต่าง ๆ ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงผู้มีประสบการณ์ในแวดวงนั้น ๆ เพื่อผลิตผลงานที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น กระบวนการนี้จะคอยพัฒนาความเป็นตัวตน รวมถึงทักษะชีวิตต่าง ๆ ของพวกเขา ซึ่งการเรียนรู้ในรูปแบบดังกล่าวจะจบลงด้วยการนำเสนอผลงาน ที่นักเรียนจะต้องสรุปรวมการเรียนรู้ ผลงานชิ้นสุดท้าย รวมถึงวิธีแก้ไขปัญหาของพวกเขาตลอดการออกเดินทางในครั้งนี้
4. ไม่ใช่แค่เรียน….แต่ได้เรียนรู้อย่างมีจุดหมาย
หนึ่งในแนวคิดสำคัญของ D-PREP เกิดการตั้งคำถามที่ว่า “ทำไมนักเรียนต้องรอจนถึงมหาวิทยาลัยจึงจะได้ศึกษาเชิงภาคสนามในรูปแบบการวิจัย และการแสวงหาความรู้ที่จำเป็นเช่นนี้”
จึงเป็นที่มาว่า การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมภาคสนาม หรือ นอกห้องเรียน (Fieldwork) ที่ D-PREP เป็นการต่อยอดบทเรียนให้เชื่อมโยงกับโลกจริง นักเรียนจะได้ออกไปทัศนศึกษาในสถานที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน พบปะผู้เชี่ยวชาญ และเรียนรู้ว่าสิ่งที่เรียนมีความสำคัญและนำไปใช้ได้อย่างไรในชีวิตจริง
ทำไมการศึกษาภาคสนามจึงสำคัญ โดย D-PREP มองว่าเรื่องนี้เปรียบเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญ ระหว่างการเรียนรู้ในชั้นเรียนและการประยุกต์ใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง โดยสิ่งนี้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่านักเรียนจะเข้าใจในแนวคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อพวกเขาเห็นความเกี่ยวโยงของทักษะและความรู้ที่ได้รับ ซึ่งล้ำไปกว่าขอบเขตการศึกษาแบบดั้งเดิม
4.1 ความเกี่ยวโยงกับโลกจริง
การศึกษาภาคสนามจะเชื่อมโยงการเรียนรู้ของนักเรียนกับสถานการณ์จริง ในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งทำให้หลักสูตรมีความหมายมากขึ้น
4.2 การมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น
การศึกษาภาคสนามเกี่ยวข้องกับการวิจัยเชิงรุก การสอบถาม และการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งต่างจากการสังเกตในการทัศนศึกษาแบบดั้งเดิม
4.3 การเรียนรู้อย่างมีจุดหมาย
การทำความเข้าใจการประยุกต์ใช้ทักษะและความรู้ในทางปฏิบัติทำให้การเรียนรู้มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญต่อชีวิตของนักเรียน รวมถึงผู้อื่น
4.4 การขยายขอบเขตด้านวิชาการ
การศึกษาภาคสนามไม่ใช่การแบ่งแยก แต่เป็นการขยายขอบเขตการเรียนรู้นอกเหนือในชั้นเรียนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้นักเรียนสามารถนำทักษะไปใช้อย่างแท้จริง
4.5 การวางแผนที่นำทางโดยคุณครู
คุณครูจะวางแผนประสบการณ์การศึกษาภาคสนามอย่างรอบคอบ โดยปรับให้สอดคล้องกับแนวคิดในชั้นเรียน ทักษะ และเนื้อหา เพื่อเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้ไปอีกขั้น
5. ไม่ใช่แค่เรียน….แต่ได้ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบ
โดย D-PREP นำแนวคิด Reggio Emilia มาใช้ โดยเชื่อว่านักเรียนทุกคนมีศักยภาพในการคิดและเป็นผู้นำการเรียนรู้ของตนเอง วิธีการเรียนรู้จะเน้นการสำรวจ การร่วมมือ และความคิดสร้างสรรค์ในบรรยากาศที่สนับสนุนและยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง ครูจะทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะด้วยความรักในการสอน
ซึ่งแกนสำคัญของแนวคิด เรกจิโอ เอมีเลีย (Reggio Emilia Inspired) เป็นแนวทางสำหรับนักเรียน Early Years เน้นเรื่องของธรรมชาติ โดยยึดเรื่องของการเรียนรู้ที่ให้เด็กเป็นศูนย์กลาง ปลูกฝังเรื่องการสำรวจ, จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ รวมไปถึงยังมีการ apply ไปจนถึงการสร้าง Secondary Campus สำหรับเด็กโต เช่น มีพื้นที่สีเขียวภายใน Campus เยอะ เพราะเชื่อว่าธรรมชาติจะเป็นเหมือนคุณครู รวมไปถึงห้องเรียนสำหรับเด็ก ๆ ได้เช่นกัน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่น ได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และเกิดความคิดสร้างสรรค์ โดยการให้ความสำคัญกับการรับฟังเด็ก และการค้นหาสิ่งที่ตนเองสนใจ
5.1 ช่วยให้เด็กค้นหาตัวเอง
การเรียนการสอนแบบ เรกจิโอ เอมิเลีย ช่วยให้นักเรียนค้นพบตัวตนที่แท้จริงผ่านการส่ง เสริมด้านการจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
5.2 สภาพแวดล้อม
วิธีนี้เป็นการเรียนการสอนที่ให้ “นักเรียนเป็นผู้นำ” และ “ผู้สอนเป็นผู้สนับสนุน”และยังสร้างสภาพแวดล้อมให้นักเรียนแสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่
5.3 การแสดงตัวตน
การใช้ศิลปะเป็นสื่อกลางทำให้เด็กสื่อสารความคิดของตนได้อย่างเหมาะสม
5.4 การจดบันทึก
การจดบันทึกจะทำให้ผู้สอนเห็นจุดแข็งและ ความสามารถ ตลอดจนพัฒนาการของเด็ก
5.5 ความสนใจ
วิธีนี้พัฒนาจากความสนใจ การตั้งคำถาม และความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก
โดยตัวอย่างที่น่าสนใจของ D-PREP คือ Light Studio: A Reggio Emilia-inspired classroom at D-PREP หรือห้อง Light Room ที่รวบรวมแนวคิดของวิธีการเรียนการสอนแบบ เรกจิโอ เอมิเลีย โดยการสร้างพื้นที่ที่นักเรียนสามารถเรียนรู้ผ่านความสนใจของพวกเขา ซึ่งจะส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด อีกทั้งยังช่วยให้นักเรียนสามารถเข้าถึงพื้นที่การเรียนรู้ที่ปลอดภัย
ซึ่งภายในห้อง Light Room เด็กจะมีอิสระในการสร้างประสบการณ์เรียนรู้ในรูปแบบของตนเอง พวกเขาสามารถควบคุม ทดลอง และปรับแต่งทุกอย่างตามความชื่นชอบ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความรู้สึกเป็นอิสระและความเป็นเจ้าของในการเรียนผู้สอน จะแนะนำนักเรียนให้สำรวจและทดลองอย่างอิสระ ซึ่งเป็นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และทักษะตามความสนใจของนักเรียนแต่ละคน
ในสภาพแวดล้อมการดูแลเช่นนี้ นักเรียนในระดับชั้นอนุบาลจะสามารถค้นพบและมีส่วนร่วมในประสบการณ์ใหม่ ๆ ภายใต้การแนะนำของผู้สอน โดยผู้สอนจะบันทึกกิจกรรมของเด็กเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับจุดแข็งและการพัฒนาของเด็กแต่ละคน วิธีนี้จะช่วยเสริมสร้างเส้นทางการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน
🎓 วิธีที่ดีที่สุดในการซัพพอร์ตลูก ไม่ใช่แค่ถามว่า ‘เขาเรียนรู้อะไร’ แต่อาจต้องเปลี่ยนคำถามเป็น “วันนี้ลูกของเรารู้จักตัวเองมากขึ้นแค่ไหน ?”
เพราะโลกของอนาคต ต้องการมากกว่าแค่คนที่เก่งตามตำรา แต่ต้องการ “มนุษย์” ที่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และจะสร้างคุณค่าให้โลกใบนี้อย่างไร โดยมีโรงเรียนมีหน้าที่สนับสนุนให้เด็กได้ ‘ค้นพบศักยภาพนั้นด้วยตัวเอง’ อย่างลึกซึ้ง
ซึ่งการเริ่มปูพื้นฐานที่ดีตั้งแต่วันนี้สำคัญมาก หากผู้ปกครอง หรือคุณพ่อ คุณแม่ ท่านไหนสนใจ หรืออยากสอบถามเพิ่มเติม อยากทำความเข้าใจให้มากขึ้น สามารถโทรหรือทักเข้าไปที่โรงเรียนได้เลย
D-PREP Round 2 Scholarship
เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ จนถึงวันที่ 6 มิ.ย. 2025 เท่านั้น โดยเปิดรับสมัครนักเรียนในระดับ Middle & High School (เกรด 6-11) ที่มีเกรดเฉลี่ยขั้นต่ำ 3.00 และมีประสบการณ์การเรียนในโรงเรียนนานาชาติมาก่อน โดยทุนจะมีทั้งหมด 2 ประเภท
-
Academic Excellence Scholarship สูงสุด 50% จนจบการศึกษา สำหรับนักเรียน Middle School (เกรด 6-8) เน้นนักเรียนที่มีความเป็นเลิศด้านวิชาการ เกรดเฉลี่ย 3.00 ขึ้นไป
-
STEAM Leadership Scholarship สนับสนุนทุน 50% จนจบการศึกษา สำหรับนักเรียน High School (เกรด 9-11) เน้นนักเรียนที่มีความเป็นเลิศด้านวิชาการ ต้องการเรียนในเส้นทาง STEAM มีผลงานหรือ Portfolio ถึงการเป็นผู้นำ และมีเกรดเฉลี่ย 3.00 ขึ้นไป
สำหรับท่านไหนที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม และสมัคร ได้ที่

สามารถติดต่อสอบถามกับทางโรงเรียนได้ที่
- Facebook / Instagram TikTok @dprepschool
- LINE: @d-prep
- Website: https://www.dprep.ac.th
- Admissions: 02-105-1757, 095-879-4944
