ข้อมูลที่ “มีค่า” ที่สุดของงานการตลาด = Insight
ในเชิงการตลาดเชื่อว่าหลายแบรนด์มีข้อมูลของลูกค้า แต่เหนือกว่านั้นข้อมูลที่มีค่าที่สุดคือสิ่งที่อยู่ใน “หัวของลูกค้า” และสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตา ข้อมูลเหล่านี้แหละจะช่วยผลักดันให้การตลาดนั้นทรงพลัง
มารู้จักกับ Rich data poor Insight อย่าเข้าใจลูกค้าแต่ตัวเลข ถ้าไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง การเข้าใจลูกค้าจะเปลี่ยนให้เราเป็น Game changer ซึ่งต้องมีองค์ประกอบ 7 ข้อด้วยกัน
🔍 1. (I) Invisible Truths
ลูกค้ามักมี ความจริงที่มองไม่เห็น จนกว่าจะได้คุยจริง
คุณบังอร ได้ยกตัวเคสเรื่องของ “สารคดีถูกมองว่าน่าเบื่อ จนมีสตรีมมิ่งมาทำให้มัน “สนุก” ขึ้น” คนส่วนใหญ่จะติดภาพสารคดีน่าเบื่อ เป็นสัตว์ป่า เป็นภาพเดิม ๆ คนเลยคิดว่าตัวเองไม่ชอบดูสารคดี จริง ๆ สารคดีมีมากมายหลายหมวด ไม่ว่าจะ แฟชั่น, อาหาร, การท่องเที่ยว เกิดเป็นสารคดีสนุก ๆ เกิดขึ้นเพราะสตรีมมิ่งปรับปรุงสิ่งนี้ให้เข้ากับลูกค้า
ดังนั้นในการวิเคราะห์สิ่งนี้ เราต้องเข้าใจบริทบท สิ่งรอบข้างความต้องการก่อน ค้นหาความต้องการที่ยังไม่มีการตอบสนอง ถึงจะไปหาจุดแก้ไขได้
🔍 2. (N) Needs They Can’t Name
ลูกค้า “ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร” จนเราเข้าใจเขาจริง ๆ
👉 ตัวอย่าง: ไอแพด = รวมหลายสิ่งไว้ในเครื่องเดียว เพราะผู้ใช้ “อยากทำหลายอย่างพร้อมกัน” ประโยคสุดคลาสสิกของ “Steve Jobs” ที่คนมักเข้าใจผิดคือ ไอเดียที่ว่าลูกค้าไมได้บอกเรา แต่เราต้องเข้าใจลูกค้าให้ได้แบบสุด ๆ ว่าเขาต้องการอะไร ต่อมาเทคโนโลยีค่อยมาคิดว่าจะแก้อะไร แล้วเอาไอเดียมาคิดอีกที จนเกิดเป็น ‘Design Thinking Concept’ ซึ่งประกอบด้วย 3 ข้อนี้
👉 2.1 Problem Space ลูกค้าไอแพดที่คุณบังอรไปสัมภาษณ์ค้นพบว่า เวลาเรียน ฉันต้อง -> เปิด Slides ->ฟังครู -> ดูหนังสือ ->จดความคิดของตัวเองไว้ตรงนั้น-> วาดภาพประกอบ
👉 2.2 Ideation Space ทำให้เกิดปัญหา: แต่ต้องสลับอุปกรณ์และจดแยก -> “มันไม่ต่อเนื่อง ทำให้ฉันหลุดโฟกัส" การแก้ปัญหาคือต้องสร้างพื้นที่เรียนรู้ที่รวม input (สิ่งที่เห็น/ฟัง) และ Output (ความคิดของเรา) ไว้ที่จุดเดียว
👉 2.3 Solutions Space -> จนออกมาเป็น Freeform / Note ในการช่วยจดและเรียนบนไอแพด
- เราต้องให้ลูกค้าพูดปัญหาก่อนจะมีสิ่งที่ช่วยแก้ปัญหาเกิดขึ้น คิดจากตรงนั้น เพื่อช่วยให้รู้ว่า การเข้าใจลูกค้าก่อนแล้วทำสิ่งนั้นขึ้นมา สิ่งที่ตัวเลขวัดไมไ่ด้คือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดเพราะยังไม่มีในตลาด
🔍 3. (S) Subconscious Driver
สิ่งที่ลูกค้า ไม่สามารถพูดได้ตรง ๆ แต่ “รู้สึก” ถึงมัน
การสื่อสารที่สัมผัสจิตใต้สำนึกจึง “ทรงพลัง”
เช่น: ลองดูจาก Copy สิ่งนี้
❌ “นี่คือน้ำหอมกลิ่นหรู ช่วยให้คุณมั่นใจ”
✅ “นี่คือกลิ่นที่ทำให้คนจำคุณได้…โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย”
ซึ่งประโยคสองคือแรงผลักดันที่คนส่วนใหญ่จะเลือกเพราะมันตอบสนอง สิ่งภายในของคุณออกมา ในระดับที่อ่านแล้วเรารู้สึกว่าเราต้องการสิ่งนี้
🔍 4. (I) Intuition for Future
Insight ช่วยคาดการณ์ความต้องการในอนาคต
ตัวอย่าง: ลูกค้าไม่ซื้อสติ๊กเกอร์ LINE 👉 เพราะมองว่าไร้สาระ → ต้องให้เขารู้สึกว่า “ฉลาด” ในการจ่าย
👉 เปลี่ยนจากของฟรี → สู่ของมีค่าผ่านบริบทใหม่ (เช่น สิทธิพิเศษ)
👉 การมี Insight คือข้อดีของการที่เราจะได้รู้สิ่งที่สำคัญมากเกินกว่า Data
👉 ใน LINE Sticker เรามักจะเจอลูกค้าที่โหลดสติกเกอร์ฟรีแต่ไม่จ่ายตังค์ เขามองว่ามันไร้สาระ ของฟรีก็ใช้ได้แล้ว จึงชวนคุยต่อว่า ถ้าเขาจะซื้อ เขาอยากจ่ายเงินแบบ Smart เขาจะซื้ออะไรต้องเทียบก่อน ต้องรู้ว่ามีสิทธิพิเศษผ่านบัตรเครดิตอะไรที่ใช้ได้ เราเอา LINE Sticker ไปอยู่ในสิทธิพิเศษ
👉 ลูกค้าที่ดื้อที่สุดก็ยังยอมซื้อ เพราะเขามองว่านี่คือการใช้งานแบบ Smart และนี้คือสิ่งที่ Data ไม่ได้บอก แต่ความต้องการของลูกค้าบอกเรา
🔍 5. (G) Gap in the Market
อย่าแข่งในเกมเดิม สร้างเกมใหม่ที่คู่แข่งไม่ถนัด
อย่าเล่นเกมส์ตามคู่แข่ง เราจะไม่ชนะ เล่นเกมส์ที่คู่แข่งไม่ถนัด เราถึงจะมีสิทธิที่จะชนะ
👉 สิ่งที่ลูกค้าคาดหวัง สิ่งที่เจอ = Need Gap สามารถสร้างความว้าวของธุรกิจใหม่ได้
👉 กล้องวงจรปิด คู่แข่งเยอะมาก ถ้าเราแก้ปัญหาเดิมที่ทุกคนในตลาดมียังไงก็ไม่ชนะ แต่เราต้องหาให้มากขึ้น ถ้าเราสามารถทำให้กล้อง สามารถช่วยไล่ขโมยได้ แจ้งตำรวจได้ แม้เราจะสร้างไม่ได้ทันที แต่ถ้าทำได้เราชนะตลาด
👉 Canva ที่สร้างมาเพื่อตอบโจทย์คนที่ไม่ใช่สายกราฟฟิก แต่เขาก็สามารถใช้งานได้เสมือนเป็นกราฟฟิก
🔍 6. (H) Human Centered Innovation
เทคโนโลยีจะ “ทรงพลัง” หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเราเข้าใจ “ความรู้สึก” ของลูกค้ามากแค่ไหน
Empathy คือจุดตั้งต้นของนวัตกรรมที่เวิร์กจริง
👉 เทคโนโลยีส่วนใหญ่จะแข็งแรงหรือไม่อยู่ที่ เรามี Emphthy คุณบังอรไปพบกับลูกค้าเพื่อตามหาสินค้าใหม่ ๆ และพบกับถั่วพิชาติโอ้ที่ผ่าออกมาแล้วจะสีเขียวกว่าปกติ สิ่งนี้ไม่ทำให้ลูกค้าว้าวและอาจะทำให้เสียเวลาได้ ขอแค่มันอร่อยทุกคนยอมซื้อ
👉 ข้าวสารคือการแข่งขันสูงมาก มี insight หนึ่งที่ค้นพบคือข้าวที่อร่อยมากคือข้าวที่ได้กินตอนเก็บใหม่ ๆ จึงขายข้าวต้นฤดู ที่อร่อยมากจนสามารถนำมาขายและตั้งราคาให้สูงได้มากที่สุด
👉 เราต้องสู้ในสิ่งที่คู่แข่งไม่มีวันมี!
🔍 7. Truth That Transforms Strategy
กลยุทธ์ที่เปลี่ยนจาก "แค่ขาย" → "เข้าใจและแก้ปัญหาให้ลูกค้า"
👉 ในตลาดมียี่ห้อเสื้อผ้าที่เราไม่เคยชอบเลย แต่มีคนเอาน้องหมีเนยมาแปะ เราจะอยากซื้อไหม ?
👉 สิ่งนี้อาจขายได้ระยะหนึ่งแต่ไม่สามารถทำให้เราขายได้ในระยะยาว -> เพราะมันไม่แก้ปัญหาให้กับเขา
👉 AI ช่วยเราได้ส่วนหนึ่งในการตอบแชท แต่ถ้าไม่มี Insight เราจะตอบคำถามลูกค้าได้ไม่ถูกต้องแต่ถ้าเรามีการจำลองภาพให้เขาสามารถเห็นสิ่งที่เขาต้องการได้ด้วย AI ลูกค้าจะเลือกเราทันที โดยไม่ต้องใช้สิ่งล่อหลอกอื่น
“ถ้าเราจะชนะได้ เราต้องมี Insight มากกว่าสิ่งใดถึงจะชนะ”
Dove รู้ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ รู้สึกว่าตัวเองไม่สวยแบบมาตราฐาน ด้วยข้อมูลนี้ เขาจึงทำแคมเปญที่ชื่อ “Inner Beauty” เกิดขึ้นมาเพื่อ Empower ผู้หญิง และเป็นแคมเปญที่ดีมาก ๆ จนลูกค้ารู้สึกมีส่วนร่วม นี่คือสิ่งสำคัญที่เราต้องมี เราต้องเข้าใจเข้าใจพวกเขา จริง ๆ
ใครที่อยากรับชมแบบจัดเต็ม สามารถซื้อบัตรรับชมย้อนหลังทุกเซสชันเพิ่มเติมได้ที่
👉 https://bit.ly/3TRATke
