รู้จัก Mad Scientist กลุ่มพนักงานอัจฉริยะ ผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมขององค์กร

Last updated on ต.ค. 3, 2023

Posted on ก.ย. 29, 2023

เคยเจอพนักงานในบริษัท ที่ดูนิ่ง ๆ แต่พอโยนไอเดียทีแล้วร้องว้าวทุกครั้งไหม หรือเคยเจอพนักงานที่ตอนแรกเราโยนงานหนึ่งให้ทำแล้วไม่เวิร์ค แต่พอให้คิดอีกงานดันได้โปรเจกต์ห่านทองคำมาซะงั้น!?

ตลอดประวัติศาสตร์ของโลก เราจะพบว่าผู้นำที่มีวิสัยทัศน์มากมาย ต่างพยายามปฏิวัติอุตสาหกรรมของตนด้วยความคิดที่แสนจะหลุดโลก ไม่ว่าจะเป็น อะมีเลีย แอร์ฮาร์ต (Amelia Earhart), เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) หรือกระทั่ง สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) เองก็ตาม เพราะบุคคลผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้ มักมีแนวคิดของความเป็น Mad Scientist (นักวิทย์ผู้หลุดโลก) ซึ่งได้ทิ้งร่องรอยที่ไม่อาจลบเลือนให้กับโลกนี้ไว้

สำหรับการเป็นผู้นำแล้ว นักคิดที่มีแนวคิดแบบ Mad Scientist นับว่าเป็นหนึ่งในคนที่มีบทบาทสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนนวัตกรรมองค์กรให้ก้าวไปสู่ระดับใหม่ มาดูกันดีกว่า ว่าทำไมเราถึงควรคัดคนแบบนี้มาไว้ในองค์กร แล้วเราจะบริหารเหล่านักวิทย์ผู้หลุดโลกกลุ่มนี้ได้ยังไง

Mad Scientist มีลักษณะเฉพาะคือความเฉลียวฉลาด เป็นคนคิดแบบมีวิสัยทัศน์ รวมถึงยังแสวงหาไอเดียใหม่ ๆ อย่างไม่ลดละ พวกเขามีพลังที่จะพยายามเปลี่ยนไอเดียในหัวให้กลายเป็นความจริงมากที่สุด ซึ่งคำนี้ไม่ได้อ้างอิงถึงนักวิทยาศาสตร์วายร้านในหนังแต่ประการใด แต่หมายถึงกลุ่มเป็ดป่าที่มีพรสวรรค์ และแหวกแนวซึ่งหลงเข้ามาในองค์กรเราเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติที่หลุดโลกของพวกเขาก็อาจทำให้เข้ากับคนอื่นได้ไม่ดีนัก ซึ่งทำให้การบริหารคนเหล่านี้ยากขึ้นไปอีก

สำหรับหลาย ๆ องค์กร การปรับกลุ่มคนทำงาน Mad Scientist ให้เข้ากับทีมอาจเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ เพราะนิสัยที่เข้ากับคนยาก รวมถึงความคิดอันหลุดโลกที่ไปด้วยแพชชันนั้น อาจนำไปสู่ความขัดแย้งภายในทีมได้ ฉะนั้นการสร้างสมดุลระหว่างการควบคุมที่ฉลาด และการจัดแนวทางการทำงานให้ดีจึงถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ดังนั้นแล้วการนำเขาไปอยู่ให้ถูกที่ จะช่วยองค์กรได้มหาศาล ซึ่งเราสามารถทำได้ด้วยการสร้างพื้นที่ทดลองให้กับ Mad Scientist เหล่านี้

การสร้างพื้นที่ให้พวกเขาเติบโตจะนำไปสู่การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มี เนื่องจากเหล่า Mad Scientist สามารถสร้างโปรดักต์จากทรัพยากรที่องค์กรมีได้ ซึ่งทำให้องค์กรได้รับประโยชน์จากการการแตกแบรนด์ รวมถึงเพิ่มแหล่งรายได้จากสิ่งที่พนักงานสร้างขึ้น

สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ว่าใครคือ Mad Scientist ขององค์กร และสร้างแผนการที่ช่วยสนับสนุนพวกเขาให้เติบโตได้เต็มที่ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาสร้างจะทำให้องค์กรสามารถเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจใหม่ รวมถึงการได้ช่วยเติมเต็มใจของเหล่า Mad Scientist จะทำให้พวกเขาภักดีกับองค์กรมากขึ้น นั่นเพราะว่าเราสามารถซัพพอร์ทความฝันของเขาได้

ในกรณีที่พวกเขามีไอเดีย แล้วเราเลือกที่จะไม่ทำมัน คนกลุ่มนี้ก็จะหาทางทำสิ่งนั้นให้มันสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงหรือ Demo ก็ตาม เพราะพวกเขามีแพชชันที่จะทำให้โปรเจกต์มันเกิดขึ้นจริง ๆ ฉะนั้นสิ่งที่เราควรตระหนักเกี่ยวกับ Mad Scientist คือ พวกเขาไม่ได้เสียใจเรื่องเงิน แต่จะเสียใจที่สุด ถ้าไม่ได้ลองทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการ

การที่พนักงาน Mad Scientist ได้ลงมือสร้างโปรเจกต์ มันช่วยให้พวกเขามีสุขภาพจิต และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นอกจากนั้นยังเกิดผลในแง่บวกให้องค์กร แต่ในกรณีที่โปรเจกต์ของพวกเขาล้มเหลว พวกเขาจะได้เรียนรู้บางสิ่ง ซึ่งเป็น Know How ที่ช่วยพัฒนาองค์กรให้ดีขึ้น ท้ายที่สุดหากพยายามแล้ว พวกเขาตระหนักว่าโปรเจกต์นั้นมันยังไม่ใช่สำหรับพวกเขา แต่การตอบรับที่ดีเสมอมา จะทำให้ Mad Scientist กลายเป็นผู้สนับสนุนที่ภักดีกับองค์กร ที่ทุ่มเทให้พวกเขาอย่างเต็มที่

นั่นทำให้การลงทุนกับ Mad Scientist จึงเป็นเรื่องสำคัญ เราในฐานะลีดเดอร์จึงต้องลงทุนกับพนักงานกลุ่มนี้ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะหากเราลงทุนได้ถูกจุด พวกเขาจะสร้างนวัตกรรมรวมไปถึงโปรดักต์ที่มีค่าให้กับองค์กรต่อไป


องค์กรที่เจริญรุ่งเรืองทุกแห่งควรมี Mad Scientist เพื่อท้าทายบรรทัดฐานเดิม ๆ ที่อยู่ในองค์กร เพราะพวกเขาสามารถจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ และขับเคลื่อนนวัตกรรมได้ แน่ล่ะว่าการจัดการพวกเขาอาจเป็นปัญหาในช่วงแรก ทว่าหากเราสามารถนำพวกเขาไปอยู่ถูกที่ จะช่วยให้องค์กรสามารถเติบโตไปไกล ซึ่งท้ายที่สุด แม้นักวิทย์ผู้หลุดโลกจะเป็นกลุ่มพนักงานที่หาได้ยาก แต่เชื่อเถอะว่าพวกเขาจะเป็นกุญแจสำคัญในการไขอนาคตแห่งศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดขององค์กรอย่างแน่นอน


แปล เรียบเรียง: พีรพล สดทรัพย์

ที่มา

trending trending sports recipe

Share on

Tags