เทรนด์การทำงานวันนี้ ไม่ใช่แค่ ‘ทำงานที่ไหนก็ได้’ อีกต่อไป แต่เทรนด์ที่มาแรงในสหรัฐอเมริกาคือ “เราจะทำงานเมื่อไหร่ก็ได้” หรือ Microshifting
มีข้อมูลน่าสนใจจาก Owl Labs จาก Report: State of Hybrid Work ประจำปีครั้งที่ 9 โดยการสรุปเทรนด์ล่าสุดถึงภาพรวมการทำงานและมองไปข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรต่อไป จากการไปสำรวจพนักงานประจำในสหรัฐอเมริกา 2,000 คน อายุ 18 ปีขึ้นไป จากบริษัทที่มีพนักงานตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
สิ่งที่น่าสนใจคือเกือบครึ่งบอกว่าตัวเองไม่มีความยืดหยุ่นพอเรื่องเวลาในการทำงาน ดังนั้นหนึ่งในสวัสดิการที่พวกเขาอยากได้ ทาง Owl Labs เรียกว่า “microshifting” พูดง่าย ๆ คือ การแบ่งเวลาวันทำงานให้เหมาะกับตัวเอง ซึ่งระหว่างวันก็แวะไปทำธุระ หรือพักชาร์จพลังสัก 1-2 ชั่วโมง เมื่อจำเป็น แล้วกลับมาทำงานต่อเมื่อเวลาลงตัวที่สุด
มีข้อมูลที่น่าสนใจโดยย้อนไปปี 2022 นักวิจัยของ Microsoft ที่ดูข้อมูลการใช้งานผลิตภัณฑ์ของบริษัท พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของสิ่งที่เรียกว่า “triple-peak day” พนักงานมีการใช้งานคอมพิวเตอร์สูงขึ้น โดยเฉพาะก่อนและหลังมื้อกลางวัน และยังมียอดพีคที่สามเกิดขึ้น ช่วงเงียบ ๆ ก่อนเข้านอน หลายคนกลับมาเปิดคอมช่วง 3 - 4 ทุ่ม นักวิจัยของ Microsoft เรียกพฤติกรรมกลับมาเปิดแล็ปท็อปตอนดึกนี้ว่า “triple-peak day” โดยนักวิเคราะห์ของ Owl Labs อาจมองตัวเลขเดียวกันว่าเป็นหลักฐานของ Microshifting นั่นเอง
ปฎิเสธไม่ได้ว่าช่วงโควิดหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดการเติบโตของการทำงานแบบ Hybrid และ Remote ได้เปลี่ยนวิถีที่พนักงานจัดการเวลาและกำหนดขอบเขตของวันทำงาน แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแค่ Microshifting แต่ยังมีข้อมูลและสถิติอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจจากรีพอร์ตฉบับนี้ โดยวันนี้ทาง CREATIVE TALK ได้รวบรวมสถิติที่น่าสนใจสำหรับ Report State of Hybrid Work มาฝากกัน
What’s Trending ภาพรวมการทำงานในปัจจุบัน อะไรกำลังมาแรง!
89% พนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด นำ AI มาใช้ในการทำงาน เมื่อเทียบกับพนักงานทำงานในออฟฟิศประจำอยู่ที่ 80% และพนักงานรีโมต 61%
65% พนักงานมีความสนใจ Microshifting หรือการแบ่งงานเป็นช่วงสั้น ๆ พักระหว่างวันได้ มีความยืดหยุ่น ให้สอดคล้องกับภารกิจ และพลังงานในแต่ละวัน
35% หลายคนทำ calendar blocking หรือ บล็อกเวลาในปฏิทิน เพื่อปกป้องเวลางานของตัวเอง โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Millennials มากถึง 61% รองลงมาคือ Gen X 22%
28% ของพนักงานบอกว่า หลายคนรับงานเสริมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมไปถึงคน Gen Z (38%) และ Millennials (31%) มีโอกาสมีงานเสริมมากกว่า Gen X (20%) และ Boomers (13%) อย่างชัดเจน โดยเหตุผลสำคัญที่คนส่วนใหญ่มีงานเสริมคือ ‘ต้องการรายได้เพิ่ม เพื่อจ่ายค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น’
เรื่องของ Coffee badging หรือการเข้าออฟฟิศพอให้เห็นหน้า แล้วกลับไปทำงานที่บ้านต่อ ซึ่งกำลังแพร่หลาย โดยคนทำงาน 43% ทำอยู่แล้ว และอีก 12% ตั้งใจจะลอง
มีข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ 37% ของคนทำงานยอมรับว่าเคยโพสต์แง่ลบเกี่ยวกับงาน/บริษัทในโซเชียลมีเดีย และ 44% บอกว่าความเห็นทางการเมืองของนายจ้างหรือเพื่อนร่วมงาน ทำให้ไม่อยากไปออฟฟิศ
เทรนด์ที่ยังคงอยู่ และคาดว่าจะยังคงอยู่ต่อไปอย่าง Work-to-rule (23%) หรือการทำงานเท่าที่ระบุไว้ในหน้าที่งาน เคร่งครัดตามชั่วโมงสัญญา ยังคงมาเป็นอันดับต้น ๆ รองลงมาน่าสนใจมาก เพราะคนยุคใหม่เริ่มให้ความสำคัญกับเวลามากขึ้น ซึ่ง Clock-blocking/Calendar blocking (19%) ถือเป็นอีกเทรนด์ที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ
เจาะลึก Inside employee เบื้องหลังความคิด และความคาดหวังของพนักงานโดยส่วนใหญ่ โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ
ส่วนที่ 1: ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในชีวิตการทำงานของพนักงานโดยส่วนใหญ่
- 91% ค่าตอบแทน/เงินเดือน
- 89% ผู้จัดการที่สนับสนุนทีม
- 89% สวัสดิการ
- 85% ความเป็นธรรมด้านค่าจ้าง
- 85% เทคโนโลยีที่ดี เข้าถึงได้
- 84% โอกาสเติบโต
- 83% มีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น
- 82% มีวันทำงานที่ยืดหยุ่น
- 79% มีสถานที่ทำงานที่ยืดหยุ่น
- 78% รู้สึกเชื่อมโยงกับพันธกิจ/เป้าหมายของบริษัท
- 78% มีโต๊ะ/พื้นที่ทำงานส่วนตัว
- 77% โอกาสเรียนรู้/พัฒนา
- 74% มิตรภาพ/ความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน
- 71% ระเบียบการแต่งกายยืดหยุ่น/ไม่เคร่ง
- 71% สภาพแวดล้อมออฟฟิศน่าอยู่
- 70% ทำงานสัปดาห์ละ 4 วันได้
- 69% โอกาสได้รับการโค้ช/พี่เลี้ยง
ส่วนที่ 2: สวัสดิการที่ดึงดูดใจมากที่สุดจากนายจ้างที่กำลังพิจารณา (ในสหรัฐอเมริกา)
- 34% ชั่วโมงทำงานยืดหยุ่น
- 27% สัปดาห์ทำงาน 4 วัน
- 26% เงินออมเพื่อเกษียณ/สมทบ เพิ่มขึ้น
- 25% ประกันสุขภาพที่ดีกว่า/จ่ายไหวกว่า
- 24% วันลาหยุด (PTO) ไม่จำกัด
- 22% เลือกสถานที่ทำงานได้ยืดหยุ่น
- 19% การดูแลสุขภาพจิต/สวัสดิภาพ
- 19% สวัสดิการทำงานจากบ้าน/เบี้ยสนับสนุน
- 13% สวัสดิการเดินทาง
- 13% อาหารกลางวันฟรี
- 13% การฝึกอบรม/พัฒนาอาชีพที่มากขึ้นและดีกว่า
- 9% โอกาสมีพี่เลี้ยง/เมนเทอร์
- 7% วันไร้ประชุม
- 7% สนับสนุนค่าเลี้ยงดูบุตร/เบี้ยเลี้ยง
- 7% พื้นที่ทำงานที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง
- 5% ลาคลอด/ลาเลี้ยงดูบุตรนานขึ้น
- 4% พื้นที่เกมในออฟฟิศ
- 3% ลาพักงานยาว เพื่อไปทำภารกิจที่สำคัญ (Sabbaticals)
ส่วนที่ 3: เหตุผลของ ‘ความกังวลหลัก’ ในที่ทำงาน มีอะไรบ้าง
- 50% พบว่าโอกาสเติบโตในอาชีพจำกัด
- 47% ไม่ได้ความยืดหยุ่นที่ต้องการ
- 47% กังวลความมั่นคงของงาน
- 47% มักถูกติดตามระหว่างการทำงาน
- 46% ถูกบังคับให้อยู่ในออฟฟิศเต็มเวลา
- 46% ขาดการสนับสนุนด้านไอที/เทคนิค
- 45% พนักงานแบบรีโมต รู้สึกไม่ได้ถูกเห็น หรือ มีส่วนร่วมในที่ประชุม
- 44% ขาดการโค้ช/พี่เลี้ยง
- 44% ไม่ผูกพันกับงาน
- 44% ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน/งานข้ามทีม
- 42% ถูกบังคับให้ย้ายใกล้ออฟฟิศ/สำนักงานใหญ่
- 40% การเริ่มใช้ AI ในที่ทำงาน
- 36% ไม่เคยพบหัวหน้าตัวจริง มักเกิดขึ้นในองค์กรใหญ่
โดยสรุปในปี 2025 - 2026 ที่กำลังจะถึงนี้ สถานที่ทำงานกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา พนักงานเริ่มใช้เครื่องมือใหม่อย่าง AI ในการทำงาน และปรับตารางงานที่ยืดหยุ่น รวมถึงมีการทำงานเสริมมากขึ้น 1 อาชีพไม่เพียงพออีกต่อไป และในขณะเดียวกันก็ต้องรับมือความเครียดทางสังคม และความตึงเครียดทางการเมือง รวมไปถึงภาระการดูแลคนในบ้าน
แปล เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ
ที่มา