เมื่อเดือนธันวาคมมาถึง ทั่วทุกมุมโลกต่างก็จะถูกประดับประดาไปด้วยบรรยากาศอันแสนอบอุ่น ช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยเทศกาลคริสต์มาสนั่นเอง
เทศกาลที่สามารถเปลี่ยนอารมณ์ขมุกขมัว ความเครียดจากงาน หรือ ความเหนื่อยล้าจากชีวิตมาทั้งปี ให้กลายเป็นเทศกาลแห่งความหวัง การรวมตัวของคนในครอบครัว และการแลกเปลี่ยนของขวัญซึ่งกันและกัน คริสต์มาสจึงถือเป็นเทศกาลที่ทุกคนต่างก็รอคอยกันมาทั้งปี แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ในภาพจำของทุกคนเมื่อเทศกาลนี้มาถึงก็คือ ซานตาคลอส
CREATIVE TALK ขอชวนทุกคนไปรู้จักชายสูงวัยใจดีในชุดสีแดงคนนี้ให้มากขึ้นกว่าที่เคย
ซานตาคลอสเป็นใคร
ซานตาคลอส หรือ นักบุญนิโคลัส มีชีวิตอยู่จริงในสมัยศตวรรษที่ 3 ในตุรกี เขาเป็นผู้มีจิตใจดีพร้อมช่วยเหลือผู้อื่นตลอดเวลา หนึ่งในเรื่องราวที่โด่งดังของนักบุญนิโคลัส คือ การพยายามช่วยเหลือหญิงสาว 3 คนที่กำลังจะโดนบิดาขายเป็นทาส
ด้วยชื่อเสียงความดีที่นักบุญนิโคลัสทำไว้ เขาจึงกลายมาเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองเหล่าเด็กๆ และกะลาสีเรือ ผู้คนจึงเริ่มเฉลิมฉลองวันเสียชีวิตของเขา คือ วันที่ 6 ธันวาคม ของทุกปี ให้ถือเป็นวันแห่งความโชคดี ไม่ว่าจะทำการมงคลใดๆ ก็ตาม
ทำไมคริสต์มาสถึงต้องเป็นวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 3 อาณาจักรโรมันต้องการทำให้คนนอกศาสนายอมรับในศาสนาคริสต์ได้ง่าย จึงเริ่มชักจูงให้คนนอกศาสนาเชื่อว่าวันนี้เป็นวันที่สำคัญ โดยการเปลี่ยนให้เทศกาลเฉลิมฉลองวันนักบุญนิโคลัสให้ตรงกับเทศกาลบูชาเทพเจ้าดาวเสาร์ หรือ (Saturn) และเทพเจ้ามิทรา แห่งเปอร์เซีย (เทพเจ้าแห่งแสง) ที่มีประจำในวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี ดังนั้นต้นกำเนิดของวันคริสต์มาสจึงไม่ใช่การประสูติของพระเยซูอย่างที่เราได้เรียนรู้มา
ความโด่งดังของเทศกาลคริสต์มาสยังมาไกลถึงทวีปอเมริกาโดยเริ่มต้นตั้งแต่ในยุคที่ประเทศอเมริกายังถูกเรียกว่าเป็น “โลกใหม่” Washington Irving ผู้เขียนประวัติบุคคลสำคัญต่างๆ มากมาย ได้เขียนถึงเรื่องราวของนักบุญนิโคลัส ในหนังสือ “The History of New York” ที่ตีพิมพ์ในปี 1809
ซึ่งในหนังสือเล่มนี้นั้น Washington Irvine ได้บรรยายนักบุญนิโคลัสว่าเป็นชายชาวดัตช์ที่ขับเกวียนขนของบนท้องฟ้า แล้วคอยหย่อนของขวัญผ่านทางปล่องไฟตามบ้านต่างๆ ทำให้คนเริ่มรู้จัก “ซานตาคลอส” มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ มีการแต่งเติมเรื่องราวเกี่ยวกับซานตาคลอสให้ผิดเพี้ยนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเปลี่ยนจากเกวียนขนของเป็น รถม้าลากเลื่อน ที่มีกวางเรนเดียร์เป็นผู้นำทาง ไปจนถึงเรื่องราวที่ว่าถิ่นกำเนิดของซานต้านั้นมาจากขั้วโลกเหนือ
ซานต้ากลายเป็นหลักในการทำการตลาดได้อย่างไร
ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1820 เป็นต้นมา ร้านค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกา หรือ ยุโรปต่างก็เริ่มโปรโมตให้คนมาหาซื้อของขวัญในช่วงคริสต์มาสจนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ปี 1840 เริ่มร้านค้าเหล่านั้นก็เริ่มมีการจำลองรูปลักษณ์ของซานตาคลอสขนาดเท่าคนจริงเพื่อประดับประดาร้าน
ห้าง Macy’s ในนิวยอร์กอ้างว่าเป็นที่แรกที่เริ่มมีการเอาซานตาคลอสมาจัดตกแต่งหน้าห้างด้วยในปี 1924 ไปเดียการให้คนจริงๆ แต่งตัวเป็นซานตาคลอสนั้นเริ่มในช่วงปี 1980 เมื่อกลุ่ม Salvation Army ที่มาจากอังกฤษและเปิดสาขาในรัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาต้องการหาเงินบริจาคให้กับครอบครัวที่ยากไร้ จึงเกิดความคิดว่าจ้างให้คนว่างงานทั้งหลายแต่งเป็นซานต้าแล้วไปเรี่ยไรเงินบริจาคตามท้องถนน ซึ่งก็มีเสียงตอบรับที่ดีจนทำให้ธรรมเนียมการแต่งกายเป็นซานต้าสั่นกระดิ่งเดินไปตามบ้านต่างๆ เพื่อขอรับบริจาคมีนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ส่วนรูปลักษณ์ของซานตาคลอสในปัจจุบันนั้นก็มีต้นแบบมาจากการโฆษณาสินค้า ในปี 1931 เมื่อ โคคาโคล่าเป็นบริษัทแรกที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ของซานตาคลอสจากแบบดั้งเดิมที่แต่งกายคล้ายบาทหลวงให้กลายมาเป็นคุณลุงพุงพลุ้ย หน้าตาใจดี ด้วยฝีมือของนักวาดภาพ Haddon Sundblom ที่เอาเพื่อนสนิทตัวเองมาเป็นต้นแบบ รวมถึงเลือกสี แดง-ขาว ให้เข้ากับ แบรนด์โคคาโคล่า จนกลายมาเป็นซานตาคลอสที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
สรุปแล้วเรื่องราวของซานตาคลอส ก็คือเรื่องจริงที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนักบุญนิโคลัสผู้ยิ่งใหญ่ ผนวกเข้ากับการแต่งเสริมเติมจริงเข้าไปจนกลายมาเป็นตำนานเรื่องราวสนุกๆ ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังให้กับผู้คนนับล้านทั่วโลกในเทศกาลแห่งความสุขอย่างคริสต์มาสนี้นั่นเอง