อนาคตไม่ได้พังเพราะไม่มีใครทำ แต่มันพังเพราะทุกคนรอ
มาอัปเดตเรื่องเทรนด์การออกแบบ ในงาน Design is More - ออกแบบเพื่อชีวิตที่ดีกว่า โดย Dsign Something ในหัวข้อ DESIGN LIFE IS MORE - เทรนด์การออกแบบประจำปี 2025 เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีและชีวิตที่ยั่งยืน โดยคุณอั้ม - ศุภกร เทพวิชัยศิลปกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Dsign Something
2025 ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ?
เรียกได้ว่าปีนี้เราจะเห็นเศรษฐกิจโลกเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้เลย มีความท้าทายมากมายที่อาจจะมากกว่าปีก่อนด้วยซ้ำ เพราะความชัดเจนของอนาคตมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นอาจจะดูไม่ดีนัก แต่เป็นเรื่องที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นปีที่เราควรกลับมาโฟกัสใช้เวลาในการวิเคราะห์ คิดให้มากขึ้นในการทำธุรกิจ
1. แก่ก่อนรวย
ภายในปี 2050 ประชากรโลกที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 2.1 พันล้านคน และหลายคนอาจมีอายุยืนยาวกว่าสินทรัพย์สำหรับการเกษียณตนเอง เป็นระยะเวลาถึงเกือบ 20 ปี
2. ไร้ความมั่นคง
เกือบ 40% ของคนทั่วโลกเผชิญกับเรื่องปัญหาทางความมั่นคงทางการเงินที่หยุดชะงักทางอาชีพที่ไม่ได้วางแผนไว้ เช่น การโดนไล่ออก, การเจ็บป่วย, เผชิญโรคระบาด, สภาวะสงคราม ฯลฯ
3. การขาดแคลนที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยา
รายงานจาก SCB EIC พบสัดส่วนความต้องการซื้อบ้านอาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทลดลง สะท้อนถึงกำลังซื้อของกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง - ล่าง ที่ยังเผชิญแรงกดดันทางเศรษฐกิจและอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อ
4. พื้นที่สีเขียวไม่เพียงพอ
ตามมาตรฐานของ WHO ประชาชนควรมีพื้นที่สีเขียวไม่ต่ำกว่า 9 ตารางเมตรต่อคน แต่ไทยมีแค่ 7 ตารางเมตรต่อคน ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐาน
5. ปัญหาโลกรวน
Supply chain อุตสาหกรรมการออกแบบก่อสร้างมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก 37% หรือ ⅓ ของโลก จึงเป็นกุญแจสำคัญของการต่อสู้กับการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ
แล้ว 2025 การออกแบบช่วยยกระดับชีวิตให้ดีขึ้นได้อย่างไร ?
การจะคาดการณ์อนาคต ต้องโฟกัส 2 เรื่องนี้ คือ FUTURE และ DESIGN
- Social Context เข้าใจบริบทสังคมใหม่ คือคุณค่าใหม่ที่ผู้คนยึด เป็นไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป
- Responsive Design เข้าใจการออกแบบที่ตอบสนองคน เพื่อความเหมาะพอดีกับไลฟ์สไตล์ในการออกแบบความอย่างยั่งยืน
คุณปอย - ไพทยา บัญชากิติคุณ ผู้ก่อตั้ง ATOM Design เป็นอีกหนึ่งท่านที่ย้ำถึง อนาคตของการออกแบบท้ายที่สุดมันต้องร่วมด้วยช่วยกัน วันนี้นักออกแบบหรือดีไซน์เนอร์เอง ก็ต้องกลับมาทบทวนให้หนักมากขึ้นถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น วัสดุที่ใช้ ไม่ใช่แค่มวลเบาหรือคุณภาพดีไม่ดี แต่ต้องคำนึงถึง Carbon Emissions หรือ การปล่อยมลพิษ ทำอย่างไรเราจะลดการปล่อยสิ่งนี้ได้ หรือลดให้น้อยที่สุด รวมถึงยังต้องผสมผสานกับบริบทของไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของคน
โดยข้อมูลจาก World Economic Forum กล่าวไว้ว่า
GenZ ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากถึง 75% แต่กลับกันบ้านเรากลับยังไม่ให้ความใส่ใจด้านนี้ที่มากพอ
หรืออีกมุมที่เป็นโอกาสของประเทศไทยที่หลายคนอาจจะไม่รู้คือ คุณโบ๊ท - ไผท ผดุงถิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง Builk One Group ได้พูดถึงมุมของ บ้านเรานับเป็น Silicon Valley งานประเภทซีเมนต์, งานวัสดุไม้ต่าง ๆ ผู้คนจากต่างประเทศมาดูงานในบ้านเรามากมาย นั่นหมายความว่าบ้านเรามีคนที่เก่งเรื่องนี้ค่อนข้างมาก นับเป็นอีกโอกาสในเชิงธุรกิจทั้งในมุม Business & Creativity ต่อไป
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ธุรกิจจะกลับมาคิดทบทวน ลองตั้งคำถามให้มากขึ้นถึงเรื่องของโอกาส ทั้งในเชิงธุรกิจสร้างสรรค์ และเรื่องของสิ่งแวดล้อม เพราะถ้าคุณเริ่มคิดก่อน สังคมก็จะถูกขับเคลื่อนโดยเริ่มต้นจากตัวคุณได้ทันที!
