การขอความช่วยเหลือในมุมของลีดเดอร์ไม่ได้เป็นการแสดงถึง ‘จุดอ่อน’ แต่เป็นการแสดงถึง ‘ความเชื่อใจ’ ที่เรามีต่ออีกฝ่าย
ในบทความที่มีชื่อว่า "How Strong Leaders Ask For Help" ได้กล่าวว่า ภาวะผู้นำที่อ่อนแอ มักให้ความสำคัญกับการรักษาภาพลักษณ์ และพยายามพิสูจน์ความสามารถของตนเองมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลให้พลาดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์
ผู้นำที่อ่อนแอ มักลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองว่าตนเองไร้ความสามารถ ในขณะที่ ผู้นำที่แข็งแกร่งจะมุ่งเน้นไปที่การบรรลุเป้าหมาย
Dale Carnegie มองว่าผู้นำที่แข็งแกร่ง ควรให้ความสำคัญกับภารกิจและเป้าหมายมากกว่าตัวเอง นั่นหมายถึง การลดอัตตาและความไม่มั่นใจในตัวเอง และมุ่งมั่นอย่างเต็มที่เพื่อความสำเร็จ โดยตระหนักว่าความสำเร็จนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงลำพัง
แต่การ ‘ขอ’ ที่ว่านี้มันก็มาได้หลายรูปแบบ และถ้าสื่อสารผิดวิธี ก็อาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าถูกบังคับให้ทำ กดดัน รู้สึกไม่มีทางเลือก ซึ่งจะทำให้เกิดการต่อต้านในการทำงาน ขาดความเต็มใจในการช่วยเหลือ ที่อาจนำไปสู่ผลลัพธ์งานที่แย่ลงได้ด้วยเหมือนกัน
ความแตกต่างระหว่างการขอความช่วยเหลือ (Help) และการขอให้ช่วยทำบางอย่าง (Favor)
- ขอความช่วยเหลือ = เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพ
- ขอให้ช่วยทำบางอย่าง = เกี่ยวข้องกับความสะดวกสบาย
ผู้นำที่ดีรู้ว่า ควรขอความช่วยเหลือในเรื่องที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของทีม เช่น
- ขอให้ช่วยทำงานสำคัญให้เสร็จ
- ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวคิดใหม่ ๆ
- มอบหมายความรับผิดชอบในงานที่มีความหมาย
ในทางตรงกันข้าม การขอให้ช่วยทำบางอย่าง (Favor) มักเกี่ยวข้องกับเรื่องของความสะดวก เช่น
- ขอให้หยิบกาแฟให้
- ขอให้ช่วยดึงเอกสารจากเครื่องถ่ายเอกสาร
- ขอให้ช่วยส่งคำเชิญประชุม
แม้ว่าการขอให้ช่วยทำบางอย่างจะไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อทีมเท่ากับการขอความช่วยเหลือในเรื่องที่มีผลต่อประสิทธิภาพของงาน
4 เทคนิคขอความช่วยเหลือ แบบไม่ให้ทีมรู้สึกว่าโดนบังคับ
1. อย่าทำให้รู้สึกว่าเป็น “หน้าที่” แต่ให้รู้สึกว่าเป็น “โอกาส”
คนเรามักไม่ชอบถูกบังคับให้ทำอะไรโดยไม่มีทางเลือก หากคุณใช้วิธีการขอแบบออกคำสั่งหรือสร้างแรงกดดันมากเกินไป อาจทำให้เกิดความรู้สึกต่อต้าน แม้ว่าผู้รับจะไม่มีอำนาจปฏิเสธก็ตาม ดังนั้นในฐานะลีดเดอร์เราควรจะ
- อธิบายว่างานนี้สำคัญอย่างไร และจะส่งผลดีต่อทั้งทีมอย่างไร
- ให้พื้นที่ในการตัดสินใจ โดยไม่ทำให้รู้สึกว่า “ไม่มีทางเลือก”
- บอกได้ว่าเป้าหมายของงานนี้คืออะไร เชื่อมโยงกับเป้าหมายองค์กรอย่างไร
2. เปลี่ยนมุมมอง ให้พวกเขาเป็น “แบทแมน” ไม่ใช่ “โรบิน”
แทนที่จะทำให้ดูเหมือนว่าคุณคือ “แบทแมน” ที่ต้องการให้ “โรบิน” เข้ามาช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ลองเปลี่ยนวิธีการขอให้พวกเขาเป็น “แบทแมน” แทน
- อธิบายว่าทำไมงานนี้ถึงต้องให้เขาช่วยเหลืองานส่วนนี้ เช่น เคยเห็นทีมแก้ปัญหาเรื่องนี้และทำออกมาได้ดีมาก จึงอยากให้ช่วยดูในส่วนนี้
- อย่ากำหนดทุกอย่างล่วงหน้า แต่ให้พื้นที่สำหรับความคิดเห็นและไอเดีย
- ถามคำถามปลายเปิด เช่น “คุณคิดว่าคุณสามารถจัดการงานนี้ได้อย่างไร?”
3. ขออะไรขอให้ ‘เจาะจง’
หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดของผู้นำ คือ การขอความช่วยเหลือแบบกว้าง ๆ จนไม่ชัดเจนว่าต้องการให้ช่วยอะไร
- กำหนดให้ชัดเจนว่าคุณต้องการให้ช่วยอะไร
- บอกว่าผลลัพธ์ที่ต้องการคืออะไร และต้องทำให้เสร็จภายในเมื่อไหร่
4. อย่าลืมขอบคุณความช่วยเหลือนั้นอย่างเต็มใจ
เมื่อผู้คนรู้สึกว่าความช่วยเหลือของพวกเขามีความหมาย พวกเขาจะเต็มใจช่วยมากขึ้น
- แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ ไม่ใช่แค่คำพูดทั่วไป
- อธิบายว่าการช่วยเหลือของพวกเขามีผลกระทบเชิงบวกอย่างไร
- ให้เครดิตและยกย่องในที่สาธารณะตามเหมาะสม
การขอความช่วยเหลืออาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันคือ "พลังพิเศษของผู้นำ" เพราะเมื่อคุณกล้าที่จะขอความช่วยเหลือทีม ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน คุณจะพบว่าอาจมีผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมกว่าที่เคยมีรออยู่ข้างหน้าก็เป็นได้
เรียบเรียง: กองบรรณาธิการ CREATIVE TALK
ที่มา
- How to Ask for Help Like the Best Leaders
- Why Successful Leaders Ask For Help!
- 3 Ways to Make a Request That Doesn’t Feel Coercive