ถอด 5 บทเรียนการทำงานผ่านเรื่องราวของซีรีส์ ‘Stranger Things’

พาไปถอดบทเรียนการเป็นผู้นำ ผ่านวิสัยทัศน์ของซีรีส์ ‘Stranger Things’ ที่เมื่อคุณอ่านบทความนี้จบแล้ว ครั้งต่อไปที่ได้ย้อนกลับไปดูซีรีส์เรื่องนี้ ความรู้สึกของคุณอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

Last updated on ธ.ค. 25, 2025

Posted on ธ.ค. 25, 2025

"You don't have to be brave all the time, you just have to be brave when it matters."
คุณไม่จำเป็นต้องกล้าหาญตลอดเวลา แค่กล้าหาญเมื่อมันสำคัญก็พอ 

ไหนใครรอดู Stranger Things ซีซัน 5 พาร์ท 2 อยู่บ้าง? สำหรับแฟน ๆ ที่ชอบซีรีส์แนวสยองขวัญ-แฟนตาซี-ไซไฟ คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘Stranger Things’ ซีรีส์น่าตื่นตาที่เริ่มต้นจากการตามหา Will Byers และ Barbara Holland ที่หายตัวไป จากนั้นตัวซีรีส์ก็ค่อย ๆ ไต่ระดับพาเราเข้าไปสำรวจในโลก Upside Down ที่ไม่มีใครคาดเดาได้ จนกลายเป็นซีรีส์เรือธงของ Netflix ที่ใคร ๆ ก็ต้องเคยดู

แต่ทีเด็ดซีรีส์เรื่องนี้ ไม่ได้มีแค่ความสนุก หรือความตื่นเต้น เพราะตัวเรื่องยังซ่อนบทเรียนของการเป็นผู้นำไว้มากมาย เช่น การร่วมด้วยช่วยกันเพื่อเอาชีวิตรอดจากโลก Upside Down, การทำงานเป็นทีม รวมถึงความไว้ใจกันและกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมากในการทำงานของโลกจริง ดังนั้นในบทความนี้เราจะพามาถอดบทเรียนการเป็นผู้นำ ผ่านซีรีส์ ‘Stranger Things’ ที่เมื่อคุณอ่านบทความนี้จบแล้ว ครั้งต่อไปที่ได้ย้อนกลับไปดูซีรีส์เรื่องนี้ ความรู้สึกของคุณอาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 


5 บทเรียนจาก ‘Stranger Things’ ที่ใช้ได้จริงในโลกปัจจุบัน

(บทความอาจมีการพูดถึงเนื้อหาในซีรีส์ ใครกลัวจะมีจุดสปอย ไว้ดูจบแล้วค่อยกลับมาอ่านได้นะ 😀)

1. อย่านำทีมแบบสูตรสำเร็จ เพราะทุกคนมี ‘จุดเด่น’ ที่ไม่เหมือนกัน

อย่างจุดเด่นของซีรีส์ Stranger Things ที่ทำให้แตกต่างจากซีรีส์อื่น ๆ นอกจากเนื้อเรื่องแล้ว สิ่งสำคัญคือคาแรคเตอร์ตัวละครที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว เช่น 

Mike Wheeler ➡️ เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ
Lucas Sinclair ➡️ เป็นคนที่มีเหตุผล มองตามหลักความเป็นจริง
Dustin Henderson ➡️ เป็นคนที่ฉลาดในการแก้ปัญหา
Will Byers ➡️ เป็นคนที่มีพลังการรับรู้ และการเชื่อมโยง 
Eleven (Jane Hopper) ➡️ เป็นคนที่มีพลังพิเศษ
Max Mayfield ➡️ เป็นคนที่พูดตรง ช่วยเตือนสติเพื่อน

ซึ่งจะเห็นได้ว่าตัวละครในซีรีส์มีความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่น แต่ทุกตัวละครยังต้องพึ่งพากันและกันเพื่อเอาชนะสัตว์ประหลาดอย่าง Mind Flayer, Demogorgon รวมถึง Vecna 

สะท้อนให้เห็นว่านี่เป็นหนึ่งในบทเรียนที่ผู้นำอาจนำมาเรียนรู้และปรับใช้ เพราะผู้นำไม่ควรนำทีมในแบบเดียวกันทั้งหมด แต่ควรจะรู้ ‘จุดเด่น’ ของแต่ละคน แล้วจัดการการทำงานให้ถูกที่ถูกทาง เพื่อให้ทีมได้มีความคิดที่หลากหลาย, มีความยืดหยุ่นขึ้น และรับมือโจทย์ซับซ้อนได้ดีขึ้น 

เช่น ในโปรเจกต์เปิดตัวแคมเปญใหม่ ผู้นำอาจจัดการแบ่งงานตามสิ่งที่ถนัด โดยการให้คนที่ถนัดวางแผนดูแลภาพรวมกับเรื่องไทม์ไลน์, คนที่สื่อสารเก่งรับหน้าที่ประสานงานกับลูกค้าและทีมอื่น ๆ, คนที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ให้ดูแลอุปสรรคหน้างาน การแบ่งงานให้เหมาะสมจะช่วยให้แต่ละคนได้ใช้จุดเด่นของตัวเองเต็มที่ และทำให้โปรเจกต์เดินหน้าได้มากยิ่งขึ้น


2. ไม่มีผู้นำคนไหนพาทีมไปถึงเส้นชัยได้ ถ้าไม่ ‘มอบหมายงาน’ ให้ทีมได้ลงสนาม

อย่างที่ทุกคนรู้ว่าซีรีส์ Stranger Things เป็นแนวสยองขวัญ-แฟนตาซี-ไซไฟ ซึ่งในเรื่องก็จะมีการเอาตัวรอดอยู่หลาย ๆ ครั้ง นั่นคือบทเรียนที่ 2 ที่ซีรีส์บอกเรา คือ ‘การไว้ใจเพื่อน’ เช่น ตอนที่เพื่อน ๆ โดนรถตู้ดักหน้า Mike Wheeler ก็เชื่อมั่นว่า Eleven จะสามารถช่วยสถานการณ์นี้ได้ จึงปั่นจักรยานต่อไป ซึ่งทำให้ Eleven มีความมั่นใจ และใช้พลังจิตควบคุมรถตู้ได้ในที่สุด

สะท้อนให้เห็นว่าในฐานะของผู้นำ ไม่ได้แปลว่าเราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ต้องไว้ใจ และส่งไม้ต่อให้คนในทีมช่วย และเปิดพื้นที่ให้ทีมได้รับผิดชอบ, ตัดสินใจ และนำในแบบของตัวเอง เพื่อให้ทีมมีแรงจูงใจในการรับผิดชอบต่องานที่ทำ และมีความมุ่งมั่นต่อหน้าที่มากขึ้น 

นอกจากนี้ความไว้วางใจระหว่างผู้นำและทีม ยังช่วยเสริมความสัมพันธ์ในเชิงบวก ทั้งการสื่อสาร, การแลกเปลี่ยนแนวคิด รวมถึงการขับเคลื่อนนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ในทีมอีกด้วย

เช่น ผู้นำลองเปิดโอกาสให้ทีมทำเองโดยไม่ micromanagement แต่ให้ทีมได้มีโอกาสได้ลอง ได้พลาด และได้เติบโตด้วยตัวเอง เพื่อให้ทีมมีความรับผิดชอบ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น


3. เป็นผู้นำที่อยู่รอดในทุกที่ เพราะมีความกล้าที่จะ ‘ปรับตัว’

สำหรับซีรีส์ Stranger Things ซีซัน 2 ก็จะเห็นหลาย ๆ ฉากที่แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของตัวละคร เช่น ตอนที่ Will Byers กลับมาจากโลก Upside Down ก็ต้องปรับตัวให้ชินกับการถูกล้อว่าเป็นเด็กซอมบี้ เนื่องจากรัฐบาลที่สร้างข่าวปลอมว่าตายไปแล้ว

สะท้อนให้เห็นว่าในยุคที่เศรษฐกิจหรือเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย ๆ ผู้นำที่จะช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จได้ในวันนี้ต้องเข้าใจว่าการปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่เรื่องตัวเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ

บทความจาก Forbes ได้แนะนำแนวทางของการปรับตัวอยู่ 4 ข้อ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Mohamed Fawzi ผู้ก่อตั้ง Blooms Group ดังนี้

1. ยอมรับว่าตัวเองยังเรียนรู้ได้อีก

การเป็นผู้นำที่จะปรับตัวได้ ต้องมีความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งต่าง ๆ และยอมรับว่าเรายังสามารถเรียนรู้เรื่องราวได้อีกมากมาย ถ้าหากไม่ปิดกั้น เช่น เวลาเจอเครื่องมือ หรือวิธีทำงานใหม่ แทนที่จะคิดว่าไม่จำเป็น สิ่งที่ใช้อยู่ก็เพียงพอแล้ว เป็นการลองใช้เครื่องมือนั้นก่อน แล้วค่อยตัดสินใจทีหลังว่าสิ่งนั้นจำเป็นหรือไม่จำเป็น ดีกว่าการปิดกั้นการเรียนรู้ไปก่อน

2. เลือกปรับตัวตามสิ่งที่สำคัญ

ถึงการปรับตัวได้ทุกเรื่องจะเป็นเรื่องที่ดี แต่สำหรับผู้นำหลายคนอาจไม่มีเวลาในการปรับตัวในทุก ๆ เรื่อง ดังนั้นสิ่งสำคัญอีกอย่างที่จะช่วยให้ปรับตัวได้เหมาะสม และสอดคล้องกับเป้าหมายต้องอาศัยการจัดลำดับปรับตัวตามความสำคัญที่ต้องทำก่อน เช่น ถ้าทีมเริ่มหมดไฟ ในขณะเดียวกันองค์กรก็กำลังจะเอาเครื่องมือ AI ใหม่เข้ามา ผู้นำอาจต้องรีบดูแลทีมให้กลับมาพร้อมก่อน เพราะสุดท้าย หากมีเทคโนโลยีอย่างเดียว แต่ถ้าคนไม่พร้อมใช้ ต่อให้เครื่องมือดีแค่ไหนก็ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้

3. เปิดพื้นที่ให้นวัตกรรมใหม่ ๆ ในองค์กร

ทรัพยากรที่สำคัญของทุกองค์กรคือ ‘คนทำงาน’ เพราะฉะนั้นผู้นำต้องเปิดโอกาสให้คนในทีมได้มีพื้นที่ในการคิด เติบโต ด้วยการสร้าง ‘ความรู้สึกปลอดภัย’ เพื่อให้ทีมรู้สึกสบายใจในการแบ่งปันความคิดเห็นที่โดดเด่นโดยไม่กลัวความล้มเหลว เช่น หากทีมต้องการทำงานแนวคลิปโดยเปลี่ยนรูปแบบ ผู้นำอาจเปิดพื้นที่ให้ทีมเสนอไอเดียโดยไม่รีบตัดสิน และเลือกทดลองแบบในสเกลเล็ก ๆ ก่อน เพื่อให้ทีมรู้สึกปลอดภัย กล้าคิดและกล้าลองสิ่งใหม่มากขึ้น

4. สร้างแรงบันดาลใจในการปรับตัว

ถ้าอยากให้ทีมปรับตัวได้เร็วและอยู่รอด สิ่งสำคัญคือผู้นำต้องทำเป็นแบบอย่าง และหัวใจสำคัญคือ ‘ความสม่ำเสมอ’ ไม่งั้นแรงบันดาลใจก็จะไม่ต่อเนื่อง และขาดตอนเพราะฉะนั้นต้องสร้างแรงบันดาลใจในการปรับตัวอยู่ตลอดเมื่อมีสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา เช่น เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามา ผู้นำลองใช้งานก่อน แล้วแชร์ขั้นตอนสั้น ๆ ให้ทีมต่อ จากนั้นก็ค่อย ๆ ชวนให้ทีมใช้อย่างต่อเนื่อง ในการทำงานบางชิ้น


4. ‘เข้าใจ’ ในความรู้สึก มากกว่า ‘ต้องการให้เป็น’

ถึงแม้เนื้อเรื่องของ Stranger Things จะเต็มไปด้วยความลุ้นระทึก ตื่นเต้น น่ากลัวแต่ภายในตัวเรื่องยังสอดแทรกความ ‘เห็นอกเห็นใจ’ อยู่ในทุก ๆ ช่วงของเรื่อง เช่น ตอนที่ Kali Prasad (Number Eight) พา Eleven ไปฆ่าคนที่เคยทำร้ายตัวเอง ตอนนั้นเอง Eleven ได้เห็นภาพครอบครัวของคน ๆ นั้นจึงเลือกที่จะไม่ฆ่า เพราะไม่อยากให้เหมือนเรื่องราวที่เคยเกิดกับตัวเอง

บทความจาก Harvard Business Impact ชี้ว่า ความเห็นอกเห็นใจเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในที่ทำงานยุคใหม่ เพราะช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานที่มีความไว้วางใจและสนับสนุนสุขภาพจิตของทีม โดยมี 78% ของผู้นำระดับสูงยอมรับว่าการแสดงความเห็นอกเห็นใจเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งยิ่งตอกย้ำให้ผู้นำไม่ควรละเลย

และเมื่อผู้นำแสดงถึงความเห็นอกเห็นใจทีม คนในทีมก็จะรู้สึกว่าได้รับการมองเห็น และมีคุณค่า ซึ่งช่วยให้ทีมมีแรงจูงใจในการทำงานเพิ่มขึ้น, มีส่วนร่วมมากขึ้น และพร้อมจะทำงานหนักขึ้นเพื่อทีม

เช่น เมื่อทีมทำงานพลาด หรือผลงานตก ผู้นำอาจเลือกคุยส่วนตัว ถามด้วยน้ำเสียงอ่อน แสดงความเป็นห่วงแทนการตำหนิ พร้อมยื่นมือช่วยเหลือในสิ่งที่ทีมต้องการ เพื่อทำให้ทีมรู้สึกได้รับการเข้าใจ มีกำลังใจ และกล้าเดินหน้าต่อ


5. อย่ามองข้ามความสำคัญของ ‘พลังมิตรภาพ’ ภายในทีม

บทเรียนสำคัญที่สุดของ Stranger Things คือการไม่มองข้าม และให้ความสำคัญกับ ‘มิตรภาพ’ อย่างแท้จริง ตัวละครใน Hawkins ไม่ได้แค่ทำงานร่วมกัน แต่ยังห่วงใยกันและกัน เช่น ตอนที่ Eleven เสียสละตัวเองดึง Demogorgon กลับไปยังมิติที่มันจากมา เพื่อรักษาความปลอดภัยของเพื่อน ๆ 

บทความจาก Forbes กล่าวว่า พนักงานหลาย ๆ คน อยากได้สนับสนุนทางจิตใจจากเพื่อนร่วมงาน เพื่อผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในการทำงาน นั่นทำให้การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน เป็นเรื่องที่ควรความสำคัญมากขึ้น เพราะเมื่อมีมิตรภาพที่ดี คนทำงานมักรู้สึกสนุกและพอใจกับงานมากกว่าเดิม ยิ่งความสัมพันธ์ที่มีต่อกันแข็งแรงมากเท่าไหร่ การทำงานในทีมก็ยิ่งแข็งแกร่งตามมา ดังนั้นอย่าลืมให้ความสำคัญกับ ‘มิตรภาพ’ ในการทำงาน เพราะมันช่วยสร้างประสิทธิภาพที่ดีในทีมได้

เช่น ผู้นำอาจใช้เวลานิด ๆ หน่อย ๆ หลังเลิกงาน คุยกับทีมเรื่องชีวิตส่วนตัว หรือรับฟังปัญหาเล็ก ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการประเมินผลงาน เมื่อทีมรู้สึกว่าสามารถพูดคุยกับผู้นำได้อย่างสบายใจ ความไว้ใจระหว่างผู้นำกับทีมก็จะเกิดขึ้น และมิตรภาพนี้จะกลายเป็นแรงใจสำคัญในการทำงานร่วมกันในวันที่งานยากมากขึ้น


ทั้งหมดนี้คือ 5 บทเรียนจากซีรีส์ Stranger Things ที่สะท้อนให้เห็นว่าซีรีส์สยองขวัญ-แฟนตาซี-ไซไฟเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่เนื้อเรื่องที่เข้มข้น แต่ยังมีรายละเอียด และมุมมองที่เกี่ยวกับภาวะผู้นำซ่อนอยู่เยอะมาก ๆ 

ก่อนจบบทความนี้อยากให้ผู้ที่อ่านบทความได้ลองสังเกตมันอีกครั้งในตอนดู Stranger Things ซีซัน 5 พาร์ท 2 ในวันที่ 26 ธันวาคมนี้ แล้วมาบอกกันหน่อยว่ามีบทเรียนไหนที่เพิ่มเติมจากบทความนี้บ้าง  


💡
สุดท้ายนี้ สิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้ได้ทิ้งไว้ให้เราได้ทบทวน คือ การไว้ใจคน, ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และใช้จุดแข็งของแต่ละคนให้ถูกที่ถูกทาง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะโลก Hawkins ใน Stranger Things หรือโลกการทำงานจริง บทเรียนเหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่ผู้นำทุกคนควรรู้

แปล เรียบเรียง: ธัญวรัตน์ ปกรณ์รัศมี

ที่มา

trending trending sports recipe

Share on

Tags