🌎 🔥 การทำงานแบบไหนกันแน่ ที่จะช่วยลดโลกร้อนได้จริง!
การศึกษาตีพิมพ์ในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences หรือ (PNAS) โดนได้ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่ ในสหรัฐอเมริกา ระบุไว้ว่า การเปลี่ยนจากการทำงานในออฟฟิศ มาทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของงานได้มากถึง 58%
หากใครยังไม่เข้าใจคำว่า Carbon Footprint นิยามของคำนี้แบบง่ายที่สุดคือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การใช้ไฟฟ้า, การขนส่ง, การขับรถ นั่งรถโดยสาร หรือแม้กระทั่งอาหารที่เรากินแล้วเหลือ จึงเกิดเป็นขยะ ก็นำไปสู่การสร้าง Carbon Footprint ที่ค่อย ๆ ทำให้โลกร้อน โลกเดือดนั่นเอง
อีกตัวเลขที่น่าสนใจคือ คนที่ทำงานจากบ้าน (Work From Home) 1 วันต่อสัปดาห์ และไปทำงานที่ออฟฟิศ 4 วัน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะลดลงได้เพียง 2% และอีกกลุ่มที่เป็น Hybrid Workers สลับการทำงานจากบ้าน และออฟฟิศ 2-5 วันต่อสัปดาห์ จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 11 - 29% โดยนักวิจัยพบว่าส่วนใหญ่ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีสาเหตุมาจากการจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วน
โดยทาง PNAS มีตัวเลขที่น่าสนใจ ของผู้คนอยู่บ้านกันส่วนใหญ่ใช้พลังงานไฟฟ้าชนิดไหนมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเฉลี่ยมีอุปกรณ์ไฟฟ้าเหล่านี้ทุกบ้าน ในสหรัฐอเมริกา โดย 5 อันดับแรกมีดังนี้
⚡ Heating เครื่องทำความร้อน
⚡ Air Conditioning เครื่องปรับอากาศ
⚡ Lighting ไฟฟ้าจากหลอดไฟทุกชนิด
⚡ Laundry อุปกรณ์ซักรีดทุกชนิด
⚡ TVs โทรทัศน์
แม้ตัวเลขการ Work From Home จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากที่สุด แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตในประจำวันของเราเช่นกัน หากคุณเปิดแอร์ทุกวัน เปิดไฟทุกดวง ขับรถไปซื้อข้าวแค่หน้าปากซอยบ้าน หรือกินไม่หมด ทิ้งขยะรวมกันไม่เคยแยกขยะ ตัวเลขที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของงานได้มากถึง 58% ก็อาจจะไม่ได้เฉลี่ยแบบนี้ในวันข้างหน้าแน่นอน
🌎 🔥 Remote Working กลายเป็นกลุ่มที่ปล่อย Carbon Footprint
แม้กลุ่มนี้จะช่วยลด Carbon Footprint ได้ดีในด้านการทำงานโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ แต่จากการศึกษาของ PNAS ยังระบุไว้ว่า คนที่มักทำงานจากทางไกล มักใช้เวลาเดินทางมากกว่าคนที่ทำงานรูปแบบปกติ มากถึง 1.6 เท่า
เหตุก็เพราะบางคนมีไลฟ์สไตล์ชอบเดินทางไปเยี่ยมเพื่อน หรือครอบครัว เพราะเราทำงานจากที่ไหนก็ได้ หรือจะไปทำงานตามคาเฟ่, ไปออกกำลังกาย, ไปตรวจสุขภาพ ซึ่งพบว่าการเดินทางประเภทนี้จะปล่อยก๊าซคาร์บอนของกลุ่ม Remote Working สูงถึง (79%) ดังนั้นการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ก็จะเป็นอีกวิธีที่จะช่วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการเดินทาง หรือการขี่จักรยาน หรือใช้รถ EV ก็ช่วยได้เช่นกัน
🌎 🔥 หลายบริษัทชั้นนำใส่ใจให้พนักงานทำงานในรูปแบบ Hybrid กันมากขึ้น1
มีอีกรายงานที่น่าสนใจจาก Deloitte ในเดือนเมษายน 2023 พบว่าโครงการริเริ่ม ESG (4 ใน 10 บริษัทที่ยุโรป และ 1 ใน 3 ของบริศัทในสหรัฐฯ กล่าวว่ากำลังเร่งเดินหน้ามีแนวโน้มที่จะลดการเดินทางพนักงาน ในการมาออฟฟิศลงถึง 20% เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความยั่งยืนในปี 2030 ซึ่งนายจ้างหลายบริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง
🌎 🔥 โดยสรุปจากเรื่องนี้
จากเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมด คงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า ‘ทำงานแบบไหน’ ถึงช่วยโลกได้ ท้ายที่สุดก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละคนด้วยเช่นกัน แต่จากข้อมูลการศึกษาของ PNAS ก็สามารถระบุได้ว่า การทำงานแบบ Work From Home และ Hybrid Workers คือตัวเลือกที่หลายบริษัทให้ความสำคัญมากที่สุด ในการช่วยลด Carbon Footprint ได้ดีกว่าในรูปแบบอื่น แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละองค์กร แต่ละบุคคล ว่าจะใส่ใจเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน เพราะเรื่องเหล่านี้เราจะรอช้าไม่ได้อีกต่อไป ภายใต้โลกเดือดที่ร้อนขึ้นทุกวัน สภาพอากาศผิดเพี้ยนไปจากเดิม!
แปล เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ
ที่มา
- Another point for remote work: It’s better for the Earth
- Climate mitigation potentials of teleworking are sensitive to changes in lifestyle and workplace rather than ICT usage
- Can Remote Work Be Good for Climate Change? This Study Thinks So
- Calculate Your Carbon Footprint