ไม่ใช่ว่าจบนอกแล้วจะทำอะไรก็ได้ การทำตลาดในเมืองไทย จำเป็นต้องเข้าใจบริบทของการตลาด (Localized) ต่อให้คุณจะเก่งมาจากไหนก็ตาม ห้ามมีอีโก้เด็ดขาด!
การจะทำตลาดในไทยให้ประสบความสำเร็จ เรื่องพื้นฐานที่สุดคือ “คุณเข้าใจตลาด และพฤติกรรมของผู้บริโภคดีมากพอแล้วหรือยัง ?” โดยหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำ Her Hyness ที่เริ่มต้นจาก 3 ผู้บริหาร คุณแอล - กัญญฉัชฌ์ เลิศธนไพบูลย์ , คุณเจฟ เลิศธนไพบูลย์ และ คุณจิม - ปิยะภาพ เลิศธนไพบูลย์ ที่แม้จะจบจากต่างประเทศมา แต่ก็ต้องมาเริ่มต้นเข้าใจผู้บริโภคจากศูนย์ที่เมืองไทยใหม่หมดจด
ความน่าสนใจของเรื่องนี้ ไม่ได้มีดีแค่โปรดักต์อย่าง Her Hyness เท่านั้น แต่ในบทความนี้ จะไม่ได้มาพูดว่าโปรดักต์น่าสนใจแค่ไหน แต่อยากมาเผยวิธีคิดถึงเบื้องลึก เบื้องหลัง ‘วิธีคิดของผู้นำ’ กว่าแบรนด์จะเติบโตขึ้นมาได้จนถึงวันนี้ มันไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด รวมไปถึงทัศนคติที่ต้องไม่คิดว่า เราจบจากต่างประเทศมา ทุกคนต้องฟังเรา แต่มันต้อง ‘Re-establish network’ คือการเริ่มต้นใหม่กับคนเดิม หรือคนใหม่ ในการเชื่อมสัมพันธ์กัน สร้างความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ทั้งในเชิงความสัมพันธ์ และธุรกิจ โดยไม่มีอีโก้เข้ามาครอบงำ

ต่อให้เรามี Playbook ระดับประเทศ ก็ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจจะประสบความสำเร็จ และนี่คือ 5 วิธีคิดบนโลกธุรกิจจริง ‘ไม่ใช่คนเก่งที่ชนะ’ แต่คือ คนเข้าใจลูกค้า และ สร้างทีมที่มั่นใจในกันและกัน
ในห้องเรียนเราอาจจะเป็นตัวท็อปของห้อง หรือในมหาวิทยาลัย เราอาจจะเป็นเบอร์ต้น ๆ ของคณะ แต่ในชีวิตจริง โลกธุรกิจการที่คุณจะเป็นตัวท็อปให้ติดตลาดประเทศ หรือตลาดโลกได้ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “คุณเก่งที่สุด หรือคุณทำคนเดียวแล้วโคตรจะเก่ง” แต่มันอยู่ที่ว่าใครสามารถเข้าใจ ‘ลูกค้าได้ดี และลึกที่สุด’ รวมถึงใครที่จะสามารถ ‘บริหารทีม และพัฒนาศักยภาพทีมได้ดีที่สุด’ และนี่คือ 5 วิธีคิดบนโลกธุรกิจจริง ‘ไม่ใช่คนเก่งที่ชนะ’ แต่คือ คนเข้าใจลูกค้า และ สร้างทีมที่มั่นใจในกันและกัน
1. ต้องกล้าที่จะก้าวข้ามกำแพงอีโก้! เพราะกระดุมเม็ดแรกสำคัญมาก
คุณจิม คุณเจฟ เล่าให้เราฟังว่า พฤติกรรมอย่างนึงของคนจบจากต่างประเทศเวลากลับมาทำงานที่ไทย คือส่วนใหญ่มักจะ Aggressive หรือมีความเกรี้ยวกราด โดยเฉพาะทั้งสองท่านที่จบจากอเมริกา วิถีชีวิตบางครั้งมันสอนให้เราต้อง Aggressive ไม่งั้นเราจะอยู่ไม่รอด!
หรืออีกมุมนึงเรื่องเล็ก ๆ อย่างจังหวะการเดิน ด้วยชีวิตที่เร่งรีบตลอดในการใช้ชีวิตที่ต่างประเทศ ทำให้เวลากลับมาเมืองไทย ความเร็วการเดินต่างกันมาก ถึงขั้นโดนแซวไปหลายครั้งว่าจะรีบวิ่งไปไหนกัน ซึ่งเป็นหนึ่งใน Pain เล็ก ๆ ที่ทั้งคุณจิม และคุณเจฟเอง ก็ต้องปรับตัวตั้งแต่จุดเล็ก ๆ เพราะถ้าเรายังไม่สามารถปรับเรื่องนี้ โอกาสที่เราจะเข้าใจตลาด หรือเข้าใจทีมงานของเรา มันจะไม่มีวันเข้าใจได้อย่าง 100%
คนเป็นผู้นำไม่สามารถวิ่งเร็วเพียงลำพังได้ และคงไม่มีใครอยากทำงานกับผู้นำที่วิ่งเร็วเกินไป จนไม่สนใจคนที่อยู่ข้างหลัง ดังนั้นเริ่มต้นจากการปรับตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก เราอย่าไปหวังเพื่อจะให้สังคมเปลี่ยนเพื่อเรา แต่เราต้องเริ่มต้นที่จะเปลี่ยนตัวเอง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ Her Hyness ไม่ใช่แค่นำมาใช้ในมุมของ Product, Service Minded หรือ Customer Centric เท่านั้น แต่ยังนำมาต่อยอดในการบริหารคนในทีมอย่างเข้าใจจริง โดยเริ่มปรับจากตัวผู้นำที่ต้องปรับ Mindset ก่อนเสมอ!
2. อย่ากลัวที่จะล้มเหลว! Learn by Doing, Learn from Failing.
คุณเจฟเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ทำงานอยู่ Goldman Sachs เป็นหนึ่งในบริษัทที่เข้ายากมาก! สภาพแวดล้อมส่วนใหญ่เราจะเจอคนระดับ Top ทั้งนั้น (ให้คิดภาพว่าสมัครเป็น 10,000 คน อาจจะรับแค่ 5-10 คนเท่านั้น) มันเลยทำให้คุณเจฟได้เรียนรู้เยอะมาก คนทุกคนที่นั่นแทบจะนิยามได้เลยว่า “ฉลาดมาก และขยันทำงานมาก” และที่สำคัญ Goldman Sachs เป็นหนึ่งในบริษัทที่ผลักดันเรื่องของ Teamwork มาก ๆ เพราะตั้งแต่คัดกรองคนเข้าไป เขาก็ต้องการคนที่จะมาเติมเต็ม Team Player อยู่แล้ว โดยวัฒนธรรมนี้จะส่งเสริมให้ทุกคนมองเป้าหมายเดียวกัน ไม่แย่งลูกค้ากันเอง และทำงานเป็นทีม
หลังจากที่คุณเจฟกลับมาเมืองไทย ด้วยความไฟแรงอยากมาพัฒนาบริษัทตัวเอง แต่สิ่งที่เจอคือ บริษัทเปิดใหม่แรก ๆ เราไม่สามารถจ้างคนระดับ Top ได้ทันที เพราะคนระดับ Top ก็คงอยากไปทำงานบริษัทที่มีความพร้อมกันทั้งนั้น ในวันนั้นเองจึงทำให้คุณเจฟเบิกเนตรขึ้นมาว่า ‘เราต้องเริ่มต้นพัฒนาคน’ จากการที่ผ่านคนทำงานระดับเกรด A ในระดับโลกมา เราจะต้องค่อย ๆ พัฒนาคนทำงานให้เป็น A ให้ได้เช่นกัน
โดยเริ่มต้นจากการรับคนอย่างจริงจัง ไม่ใช่ใครก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่เข้าใจในวัฒนธรรมของเรา บริษัทเริ่มต้นใหม่ มักมาพร้อมกับภาระอันยิ่งใหญ่แน่นอน แต่สิ่งที่คนทำงานจะได้ คือทักษะอันมีค่าที่จะต่อยอดให้เขาก้าวกระโดดได้ไวกว่าใคร ซึ่งถือเป็นการนำประสบการณ์จากการทำงานในต่างประเทศ มาปรับใช้ได้น่าสนใจ
คุณจิมเสริมถึงมุมมองของการที่ไปอยู่ในบริษัท Top 100 ในบริษัทระดับโลก เขามักจะมีความพร้อมในทุกด้าน มีทรัพยากรเยอะ องค์กรจึงขยับด้วยระบบมากขึ้น เช่น จะปรึกษาเรื่องกฎหมาย ก็จะมีทีม หรือแผนกกฎหมายที่เป็นมืออาชีพ แต่กลับกันพอมาเปิดบริษัทเอง เราไม่มีทีมกฎหมายแบบเขา เราต้องมาเริ่มต้นจากศูนย์ ทุกอย่างต้องกระตือรือร้น ดิ้นรนเองทั้งหมด
ดังนั้นเลยเกิดเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมสำคัญของ Her Hyness คือ “Learn by doing. Learn from failing.” เรียนรู้จากการลงมือทำ และเรียนรู้จากความล้มเหลว แน่นอนว่าช่วงแรกการทำงานมันผิดพลาด มันล้มเหลวตลอดเวลา เราต้องพร้อมจะล้มเหลว เพื่อลุกขึ้นมาเรียนรู้ใหม่อยู่เสมอ ซึ่งจากจุดนี้ก็ได้เริ่มนำมา Empower กับพนักงาน เพื่อสร้าง Global Mindset หรือวิธีคิดของคนระดับโลก
ถ้าเรา Fail ไม่ใช่ว่าจะถูกไล่ออก แต่ต้องหาวิธีแก้ปัญหา เพื่อให้ครั้งต่อไปเราสำเร็จ เพื่อฝึกให้พนักงานกล้าตัดสินใจ คิดเองได้จริง และกล้ารับผิดชอบต่องานที่ทำ โดยไม่กลัวที่จะรับ Feedback
3. Teamwork ที่ดี เริ่มจากผู้นำที่กล้ารับผิด และให้เครดิตทีมได้จริง
คุณจิมเน้นย้ำมาก ๆ ว่า “บริษัทระดับโลกเอง ไม่ได้จะเก่งเรื่องของ Teamwork มากกว่าบริษัทในไทย” แต่คีย์สำคัญคือ Context ของทีม หรือบริบทในแต่ละวัฒนธรรมองค์กรไม่เหมือนกัน เช่น บางวัฒนธรรมต่างคนต่างทำ แต่งานก็สำเร็จได้ หรือ บางองค์กรให้ความสำคัญกับ Teamwork มาก ๆ แล้วเขาก็สำเร็จเช่นกัน ซึ่งหนึ่งใน Context สำคัญที่ Her Hyness ได้สร้างองค์กรขึ้นมา มีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ ๆ
3.1 การจะ Establish Teamwork มันต้องเริ่มจาก Trust ก่อน
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติเราบอกทีมว่าทำเลย ผิดพลาดไม่เป็นไร ไม่ด่า แล้วครั้งแรกที่ทำผิดกลับสวนทางกับคำพูด กลายเป็นด่าเขาเละเลย แน่นอนว่าทีมจะไม่กล้าลองทำอีก ดังนั้นคนที่เป็นผู้นำต้อง Walk The Talk หรือพูดแล้วต้องทำ ถ้าคุณเชื่อใจลูกทีมจริง ๆ คุณต้องกล้าให้เขาลอง ถ้าผิดพลาดหยิบบทเรียนนั้นมาหาเหตุผล ปรับแก้ แล้วทำใหม่ให้มันถูกต้อง
แน่นอนว่าในครั้งแรก ๆ มันอาจจะยังไม่ได้เห็นผลทันที แต่ในครั้งถัด ๆ ไป มันจะเกิด Trust จากตัวผู้นำ รวมถึงผู้นำก็จะเกิด Trust จากตัวลูกน้อง แล้วสิ่งเหล่านี้มันจะเสริมสร้าง Unleash Superpower หรือปลดล็อกศักยภาพบางอย่างได้ เพราะบางคนอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าเขาซุกซ่อนศักยภาพอะไรไว้อยู่ หน้าที่ผู้นำควรดึงจุดนั้นออกมาให้ได้ เพื่อค้นพบ Unleash Superpower ที่ถูกซ่อนไว้ในตัวของลูกทีมแต่ละคน
3.2 ผู้นำต้อง Lead by example
แต่ก่อนที่คุณจะไปนำใคร การเริ่มต้นสร้าง Teamwork ในตัวผู้นำก่อนสำคัญมาก เพราะ Her Hyness ก็มีผู้บริหารถึง 3 คน ถ้าทั้งสามคนยังไม่เชื่อมั่น หรือต่างคนต่างทำ คุณอย่าไปคาดหวังว่าพนักงานในองค์กรจะทำได้ เพราะขนาดผู้นำด้วยกันยังไม่เชื่อกันเลย! ดังนั้นเริ่มจากผู้นำก่อนเสมอ โดยคุณแอล, คุณจิม และคุณเจฟเอง ก็ต้อง Lead by example หรือทำให้พนักงานเห็นว่าพวกเขาทำจริงนะ ไม่ใช่แค่สร้างภาพ ว่าเราเป็นทีมที่แข็งแกร่งจริง ๆ และเชื่อมั่นว่าทุกคนในองค์กรทำได้ เป็น Teamwork ที่ดีได้จริง
3.3 ผู้นำต้องกล้ารับผิด และรับชอบลูกทีมได้จริง
คุณเจฟได้แชร์ประสบการณ์ที่น่าสนใจว่า เวลาลูกน้องทำอะไรผิด จะไม่โทษลูกทีมก่อน แต่ต้องย้อนกลับมาถามถึงปัญหาว่า ตัวผู้นำเองอาจจะไม่ได้สื่อสารถูกต้อง, ตรวจงานอย่างละเอียด หรือบรีฟไม่เคลีย ซึ่งเรื่องไม่ง่าย! แต่ถ้าทำได้ คุณจะสร้าง Trust ให้ทีมได้มาก เพราะเมื่อมีปัญหากับงานจริง ทีมจะกล้ามาปรึกษาคุณ หรือมาขอโทษต่อความผิดพลาดนั้นได้ง่ายกว่า เพื่อให้คนทำงานรู้สึกว่าพื้นที่นี้คือ Safe Zone
ในวันที่ลูกทีมทำได้ดี เราต้องยินดีที่จะแชร์เครดิตนั้น
ส่วนในวันที่ลูกทีมทำได้ไม่ดี หรือผิดพลาด ผู้นำควรรับผิดแทน ไม่พุ่งประเด็นไปที่การด่า แต่ควรให้เขาเห็นถึงคุณค่าของเรื่องที่ผิด เพื่อลดการผิดพลาด นำไปสู่ความมั่นใจในครั้งต่อไป

4. Trust + Respect เท่ากับ โครงสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน
แบรนด์ Her Hyness ก่อกำเนิดจาก Owner 3 คน ซึ่งเป็นคนในครอบครัว ดังนั้นเรื่องของ “Trust + Respect” จึงมีความสำคัญอย่างสูงสุด เพราะ ‘ความไว้วางใจ มันไม่มีต้นทุน’ ตัวอย่างเช่น คุณเจฟ ดูแลการเงิน คุณจิมคุณแอล ก็ไว้ใจ หรือในส่วนของคุณจิมทำ อีก 2 คนก็ไม่ต้องเข้ามาจู้จี้ เพราะเขาไว้ใจซึ่งกันและกัน และในท้ายที่สุดสิ่งนี้ก็กลายเป็น Ownership Structure
ในวันหนึ่งเมื่อเรามี Trust ในระดับหนึ่ง อะไรต่าง ๆ จะง่ายขึ้น เราไม่ต้องมานั่งตรวจสอบกัน เพราะแค่ทำงานปกติก็ยุ่งมากพอแล้ว ดังนั้นโดยสรุป Trust + Respect มีความสำคัญมาก ๆ ในการทำธุรกิจร่วมกัน หากมีความไม่ไว้ใจกันในทีม มันจะต้องทุ่มพลังไปกับการตรวจสอบ แก้ความเข้าใจผิด หรือการเมืองในองค์กร (Politics) ซึ่งทำให้งานเสียเวลาและสูญเสียพลังโดยไม่จำเป็น
หลายธุรกิจล้ม ไม่ใช่เพราะแผนธุรกิจไม่ดี แต่ “ผู้ร่วมก่อตั้ง” ทะเลาะกัน เพราะไม่มีความไว้ใจกันนั่นเอง
เมื่อองค์กรมีผู้นำที่ไว้ใจ การสร้างทีมที่ดีก็จะตามมา เพราะทีมที่ดีต้องเสริมกันทั้งทักษะและนิสัย (Complementary) ไม่ว่าจะความแข็งแรงของทีมไม่ได้มาจากคนเก่งเหมือนกันหมด แต่มาจากการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน รวมไปถึงทุกคนมีจุดเด่นแตกต่าง เช่น คนหนึ่งถนัดการตลาด อีกคนเก่งระบบ หรืออีกคนละเอียดเรื่องตัวเลข ยิ่งเปิดใจยอมรับบทบาทของกันและกันได้ ทีมจะทำงานได้เร็วและมีคุณภาพมากขึ้น
5. เคล็ดไม่ลับผู้นำฉบับ Her Hyness เพราะ 3 ทักษะนี้เป็นสิ่งที่ผู้นำต้องมี และขาดไม่ได้!
5.1 Self Confidence
คือการเชื่อมั่นในตัวเอง หรือความสามารถของตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องเด่นที่สุดในห้อง บางครั้งผู้นำหลายคนติดกับดักว่าตัวเองรู้ดีที่สุดและไม่ไว้ใจทีม แต่ผู้นำที่มี Self Confidence จะรู้ตัวว่าเรามีศักยภาพกับงานนี้นะ แต่จะไม่เข้าไปทำเอง เพราะเขามีหน้าที่สร้างพื้นที่ เปิดเวทีให้กับทีมได้โชว์ศักยภาพจริง ๆ
5.2 Maturity
หมายถึงความเป็นผู้ใหญ่ หรือคนมีวุฒิภาวะ คำว่าผู้ใหญ่ไม่ได้แปลว่าอายุเยอะ แต่คือการผ่านประสบการณ์ชีวิตมาเยอะ จนเข้าใจว่า…หลายเรื่องในชีวิตมันไม่แย่หรือดีเกินไปอย่างที่เคยคิดตอนเป็นเด็ก มันคือการมองอะไรอย่างมีสติ เห็นภาพรวม และรู้ว่าอะไรควรใจเย็น อะไรควรปล่อยผ่าน
ดังนั้นคีย์สำคัญของผู้นำคือ Keeping Perspective รักษามุมมองที่ต่างกัน “ยิ่งโต ยิ่งเข้าใจว่า...บางเรื่องไม่ต้องตื่นเต้นหรือกังวลเกินไปก็ได้” เพราะการคิดเป็น, มีสติ และรู้จักวางใจในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ นั่นแหละครับ คือ Maturity ในชีวิตจริง.
5.3 Servant Leadership
การเป็นผู้นำไม่ได้เหมือนทหาร ไม่ใช่ว่าเอาแต่สั่ง เราไม่ใช่กองทัพ แต่เราเป็น Teamwork การเป็นผู้นำ ไม่ใช่แค่สั่ง แต่คือการ ‘สนับสนุนทีม’ ให้เขาเก่งขึ้น เราอยู่เพื่อช่วยเหลือ ไม่ใช่ควบคุม เวลามีผลงานดี ให้เครดิตทีมก่อน แต่ถ้าเกิดปัญหา ผู้นำต้องเป็นคนรับไว้เอง และท้ายที่สุดพลังของความเก่งมันจะมากกว่าผู้นำ แล้วในเป้าหมายหลักจะนำไปสู่การทำให้องค์กรเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ความสำเร็จของแบรนด์ Her Hyness ไม่ได้เกิดจากผู้บริหารทั้ง 3 ท่านเท่านั้น แต่แรงขับเคลื่อนให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก และเกิดยอดขายพันล้านได้ใน 8 ปี มันเกิดจาก “วัฒนธรรมองค์กร และการให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน”
ในวันนี้คุณแอล, คุณจิม และคุณเจฟ ก็ยังคงสม่ำเสมอในการให้ความสำคัญกับทั้งธุรกิจ และเรื่องของคน ระหว่างทางเราเจอความเครียดอยู่เรื่อย ๆ ยิ่งเศรษฐกิจในวันนี้หลายแบรนด์ ต้อง Survive กันแทบจะวันต่อวัน มันคงหยุดเครียดไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญนอกเหนือจากเรื่องคนที่ได้อธิบายไปทั้งหมด อีกเรื่องสำคัญไม่แพ้กันคือ เรื่องของ ‘การวางระบบ’ หากอยากขยายธุรกิจในอนาคต
ธุรกิจไม่สามารถขับเคลื่อนด้วย “คน” เพียงอย่างเดียวในวันที่บริษัทเติบโต แต่ต้องมี “ระบบ” ที่ช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น แม่นขึ้น และพลาดน้อยลง เพราะการลงทุนกับระบบในวันนี้ จะช่วยลดปัญหาในอีก 1–2 ปีข้างหน้าได้ ยิ่งธุรกิจใหญ่ขึ้น ความผิดพลาดจากระบบจะส่งผลมากขึ้น
สัมภาษณ์, เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ