การสร้างวัฒนธรรมองค์กรว่ายากแล้ว การรักษานั้นยากกว่า แต่ที่ยากที่สุดคือ การเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรครับ โดยเฉพาะถ้าเราเป็นผู้บริหารคนใหม่ที่ต้องการเข้าไปพลิกธุรกิจให้ดีขึ้น การเข้าไปเปลี่ยนวัฒนธรรมเดิมถือเป็นงานสำคัญอย่างหนึ่งของผู้นำองค์กร หรือแม้แต่เราเป็นผู้นำในบริษัทเดิมอยู่แล้วแต่อยากเปลี่ยนวัฒนธรรมแย่ ๆ ของคนในองค์กร มันเป็นเรื่องที่ท้าทายมากพอสมควรเลยครับ
บทความแนะนำ : วิธีการสร้าง Culture จากการตั้งกฎที่ชวนตั้งคำถาม
เรื่องเล่า Culture ในบทความนี้ มีตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กรของผู้บริหารบริษัทระดับโลกมาเล่าเพื่อให้เรียนรู้ต่อยอดกันครับ
1. Mary Barra
![Mary Barra CEO ของ General Motors](https://creativetalkconference.com/content/images/wordpress/2020/08/cultureceo1.jpg)
ภาพจาก flickr.com
เมื่อ Mary Barra เข้ามาเป็น CEO ที่ General Motors ในปี 2014 เธอพบว่าระบบการทำงานในองค์กรนั้นมีความเป็นเจ้าขุนมูลนายอยู่สูงมาก ระดับผู้บริหารไม่ค่อยพูดคุยกับลูกน้องในทีมเลย กลับปล่อยให้ทำงานไปตามกระบวนการที่มีอยู่ เนื่องจาก GM เป็นองค์กรใหญ่และเก่าแก่ ระบบการทำงานจึงค่อนข้างอยู่ตัว และผู้บริหารเหล่านั้นแทบไม่ต้องสื่อสารแบบตัวต่อตัวกับคนในทีมกันมากเท่าไหร่ หนึ่งในตัวอย่างที่เป็นหลักฐานยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีคือ คู่มือการแต่งตัว (Dress Code) ที่มีความยาว 10 หน้า
เพื่อเป็นการเริ่มต้นการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรนี้ Barra จัดการแก้ Dress Code จาก 10 หน้าให้เหลือแค่ 2 คำสั้น ๆ ว่า “Dress Appropriately” หรือ แต่งตัวให้เหมาะสม ซึ่งหลังจาก Dress Code ใหม่นี้ออกมาก็มีผู้บริหารระดับผู้อำนวยการที่ดูแลงบประมาณระดับหลายล้านดอลลาร์ส่งอีเมลมาโวยวาย Barra ว่าถ้าจะเขียน Dress Code แค่แต่งตัวให้เหมาะสมมันไม่พอ ต้องระบุให้ชัดเจนหน่อยว่าแบบไหนเหมาะสมและแบบไหนไม่เหมาะสม เพราะทีมของเขาเองต้องติดต่อกับหน่วยงานราชการ ดังนั้นการแต่งตัวให้เรียบร้อยเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก ๆ
ทาง Barra จึงยกหูโทรไปถามว่า “งั้นทำไมคุณไม่นั่งคุยกับคนในทีมดูว่าอยากให้แต่งตัวแบบไหนล่ะ” หลังจากนั้นไม่นานผู้อำนวยการคนเดิมโทรกลับมาแจ้งว่า คุยกับทีมเรียบร้อยและเข้าใจตรงกันแล้วว่าวันที่คนไหนได้รับมอบหมายให้ติดต่อหน่วยราชการต้องแต่งตัวแบบไหนจึงจะเรียกว่าเหมาะสม และนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นที่คนระบบหัวหน้าใน GM คุยกับคนในทีมมากขึ้น นอกจากแค่อาศัยระบบการทำงานเพียงอย่างเดียว
2. Marissa Mayer
![Marissa Mayer](https://creativetalkconference.com/content/images/wordpress/2020/08/cultureceo2.jpg)
ภาพจาก flickr.com
อีกตัวอย่างเป็นเคสของ Yahoo! หลังจากที่ Marissa Mayer เข้ามาเป็น CEO ในปี 2012 ช่วงนั้นคนใน Yahoo! ทำงานกันไม่ค่อยเต็มประสิทธิภาพ ช่วงแรก Mayer พยายามทำงานเป็นแบบอย่างให้เห็น ทำงานอย่างหนักและเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในองค์กรได้
ดังนั้นในปี 2013 Mayer จึงสั่งยกเลิกการทำงานที่บ้าน (Work From Home) ทั้งหมด และให้ทุกคนต้องอยู่ที่ออฟฟิศในชั่วโมงทำงาน ซึ่งแน่นอนเมื่อประกาศออกไปได้รับการต่อต้านจากคนในองค์กรและคนภายนอกเป็นอย่างมาก เพราะมันขัดกับเป้าหมายเดิมขององค์กรที่ตั้งไว้ว่า จะเป็นบริษัทเทคที่คนจะทำงานที่ไหนก็ได้
โดยสุดท้าย Mayer ให้เหตุผลว่าจากการตรวจสอบ logs การเข้าทำงานของคนที่ทำงานที่บ้านพบว่า จริง ๆ แล้วพวกเขาแทบจะไม่ได้ทำงานเลย วิธีนี้เป็นการส่งสารจากผู้นำองค์กรว่า ตัวเขารู้นะว่าใครทำงานไม่เต็มที่บ้าง การยกเลิกการทำงานที่บ้านเป็นเหมือนการส่งสัญญาณแบบหนึ่งว่า ต่อไปนี้ทุกคนจะทำงานกันแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว
3. John Morgridge
![John Morgridge](https://creativetalkconference.com/content/images/wordpress/2020/08/cultureceo3.jpg)
ภาพจาก flickr.com
John Morgridge ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของ Cisco ในปี 1988 ถึง 1995 ต้องการให้เงินทุกบาททุกสตางค์ของบริษัทลงไปกับการทำงานจริง ๆ เพราะพนักงานในองค์กรมีวัฒนธรรมในการใช้เงินบริษัทอย่างไม่บันยะบันยัง โดยที่ Morgirdge เริ่มจากตัวเองก่อน ทุกครั้งที่ต้องไปทำงานต่างเมือง ตัวเขาเลือกจะอยู่โรงแรมที่ไม่แพง พร้อมยังบอกกับทุกคนว่า
“ถ้าคุณมองออกจากห้องพักแล้วไม่เห็นรถที่ตัวเองจอดไว้ นั่นหมายความว่าคุณกำลังจ่ายเงินค่าโรงแรมแพงเกินไป”
วิธีนี้ทำให้เหล่าผู้บริหารระดับสูงเข้าใจได้ทันทีว่า การบินเฟิร์สคลาสและดินเนอร์หรู ๆ ไม่ควรอยู่ในแพลนเวลาเดินทางไปทำงานต่างเมือง และการเดินทางดังกล่าวควรไปเพื่อทำงานจริง ๆ ไม่ใช่การไปเพื่อใช้เงินของบริษัทสนองความสะดวกสบายของตัวเอง
4. Dick Costolo
![](https://creativetalkconference.com/content/images/wordpress/2020/08/cultureceo4.jpg)
ภาพจาก flickr.com
ตอนที่ Dick Costolo อดีต CEO ของ Twitter (2010 – 2015) ตอนที่เขาเข้ามาเป็น CEO Twitter เขาพบว่า พนักงานทำงานกันชิลเกินไป ขนาดที่ว่าพอถึงเวลา 5 โมงเย็น ก็ไม่มีใครอยู่ออฟฟิศอีกแล้ว ซึ่งผิดกับบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ใน Sillicon Valleys มาก
Costolo ต้องการที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมนี้ โดยการทำเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าขนาด CEO ยังทำงานหนักเลย ทุกวันหลังทานข้าวเย็น Costolo จะกลับมาที่ออฟฟิศและเปิดรับนัดทุกคนที่ยังอยู่ออฟฟิศ และอยากจะปรึกษาหรือต้องการความช่วยเหลือจากเขา หลังจากนั้นไม่นานพนักงานส่วนใหญ่ก็ทำงานกันหนักขึ้นและอยู่กันดึกขึ้น ทำงานต่าง ๆ เสร็จเร็วกว่าเมื่อก่อนมาก
5. Reed Hastings
![Reed Hastings](https://creativetalkconference.com/content/images/wordpress/2020/08/cultureceo5.jpg)
ภาพจาก commons.wikimedia.org
อีกเรื่องเป็นเรื่องของ Netflix ช่วงที่บริษัทกำลังจะเปลี่ยนรูปแบบทางธุรกิจจากการจัดส่ง DVD ทางไปรษณีย์ไปเป็นการสตรีมมิ่งหนังผ่านออนไลน์ แน่นอนว่าช่วงนั้นรายได้จากการทำธุรกิจแบบเดิมเยอะกว่ามาก เพราะเป็นธุรกิจที่มีฐานลูกค้าจริงอยู่แล้ว เทียบกับโมเดลสตรีมมิ่งที่ยังเพิ่งตั้งไข่ ทำให้คนในองค์กรยังคงให้ความสำคัญกับโมเดลธุรกิจแบบเดิมอยู่ และไม่จริงจังกับการเปิดรับแนวทางการทำธุรกิจใหม่
ดังนั้น Reed Hastings CEO ของ Netflix จึงจัดการเปลี่ยนโดยไม่เชิญผู้บริหารที่ดูแลเรื่องธุรกิจจัดส่ง DVD ทางไปรษณีย์เข้าในประชุมสำคัญ ๆ ของบริษัท โดยเฉพาะประชุมที่เกี่ยวกับกลยุทธ์และแผนธุรกิจระยะยาวของ Netflix เพื่อแสดงให้ทุกคนเห็นว่าอนาคตของ Netflix จะต้องเป็นออนไลน์สตรีมมิ่ง และก็อย่างที่ทุกคนทราบ ตอนนี้ Netflix เป็นเบอร์หนึ่งของบริการสตรีมมิ่งหนังและซีรีส์ออนไลน์ไปแล้ว
จากเรื่องเล่า culture ทั้ง 5 เรื่องนี้ น่าจะพอทำให้เห็นภาพได้นะครับว่า การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรสามารถทำได้อย่างไรบ้าง แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เรื่องหลัก ๆ ที่ต้องเจอคือ การต่อต้านจากคนทำงานที่เคยชินกับวัฒนธรรมองค์กรแบบเดิม ๆ ดังนั้นการจะเปลี่ยนได้ต้องอาศัยความเด็ดขาดของผู้นำองค์กรด้วยครับ ตอนนี้ที่บริษัทของผมเอง ก็กำลังจะตั้งกฎใหม่เพื่อเปลี่ยนวัฒนธรรมในเรื่องของการประชุมให้กระชับและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แยกให้ชัดเจนระหว่างการประชุม กับ การระดมไอเดีย เพื่อให้ทุกคนที่เข้าร่วมประชุมใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าจริง ๆ ไว้ได้ผลอย่างไรแล้วจะขอมาเล่าในโอกาสต่อไปนะครับ
![คุณณรงค์ยศ มหิทธิวาณิชชา Chief Digital Officer & Co-Founder at The Flight 19 Agency](https://creativetalkconference.com/content/images/wordpress/2020/01/ble2.jpg)
เรื่อง : ณรงค์ยศ มหิทธิวาณิชชา Chief Digital Officer & Co-Founder The Flight 19 Agency
ติดตามบทความ เรื่องเล่า Culture ทั้งหมดได้ที่นี่ คลิก