คิดให้เยอะ วางแผนให้มาก ผู้นำต้องทำให้ทีมเห็น Value ของงาน

สรุปบทเรียนการเป็นผู้นำ จากงาน AO AWARDS 2024

Last updated on ต.ค. 18, 2024

Posted on ต.ค. 18, 2024

อะไรคือสิ่งที่ผู้นำควรมีทั้งในเชิงของความคิด ทักษะ การบริหาร ในงาน AO AWARDS 2024 เซสชันของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ CEO, Srichand & Mission to the Moon ได้เล่าถึง Mindset ของการเป็นผู้นำแห่งอนาคต โดยกล่าวว่า “What got you here, won’t get you there” อะไรที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จมาถึงจุดนี้ได้ อาจไม่ได้พาคุณสำเร็จไปตลอดกาล

⭐ 3 ชุดความคิดและทักษะสำคัญ สู่การเป็นผู้นำแห่งอนาคต

1. Growth Mindset

Be Comfort with Discomfort รู้สึกโอเคในความไม่สบายใจ ลองกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและก้าวข้ามขีดจำกัด

ตั้งแต่โบราณ มนุษย์มีสัญชาตญาณความกลัวเพื่อเอาตัวรอด และในปัจจุบันสิ่งนี้ทำให้มนุษย์ในปัจจุบันมีความกลัวการเปลี่ยนแปลงหรือกลัวสิ่งใหม่มากจนเกินไป ทำให้ไม่กล้าที่จะลองและก้าวข้ามสิ่งเดิม ๆ

คุณรวิศบอกว่าเคยอยู่ในจุดที่ไม่พอใจในหุ่นหรือสุขภาพของตัวเอง จนเกิดจุดเปลี่ยนว่า “เราจะใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว” อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดความคิดอยากลองวิ่งมาราธอนขึ้นมา และได้วิ่งไปมากถึง 42 กิโลเมตร โดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ทำให้โดนตักเตือนจากคนที่วิ่งมาราธอนว่าอันตราย

แต่สิ่งที่คุณรวิศคิดคือ “ถ้ารู้ว่า จริง ๆ แล้วการวิ่งมาราธอนต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง เขาอาจจะยังไม่ได้เริ่มวิ่งมาราธอน ณ ตอนนั้นเลยก็ได้”

พลังของความคิดมันยิ่งใหญ่กว่าที่คุณคิด เพราะพลังของความคิดทำให้คุณสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมพร้อมก้าวเข้าสู่สิ่งใหม่ที่เหนือความคาดหมายได้

2. Innovative Mindset

มีความคิดริเริ่มในการทำสิ่งใหม่ ๆ และการคิดสิ่งใหม่ คือ ‘การทดลอง’ ทุกคนควรมีจิตวิญญาณของการเป็นนักทดลอง ไม่ด่วนตัดสินอะไรไปก่อน ให้เริ่มจากการทดลอง

ในตอนที่ Elon Musk ซื้อ Tesla ได้มีความคิดหนึ่งว่า “มีคนที่อยากได้รถไฟฟ้าหรู ๆ ไหม” และนั่นทำให้เขาได้สร้างโครงรถไฟฟ้าขึ้นมาเพื่อนำเสนอให้นักลงทุนเห็น และบอกว่า “ถ้ามีคนสนใจอยากขับรถแบบนี้ให้ลงทุนกับเขา” และเมื่อมีคนลงทุนเขาก็ได้พัฒนารถไฟฟ้าขึ้นมาจริง ๆ และสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับ Tesla ได้อย่างมหาศาล

สิ่งสำคัญของการทดลอง คือ ต้องเรียนรู้จาก ‘ความล้มเหลว’

คนเราอยากได้อะไรใหม่ ๆ ก็ต้องทดลองไปเรื่อย ๆ และการที่จะไปถึงจุดสำเร็จได้ก็ต้องผ่านความล้มเหลวมามากมาย แต่ความล้มเหลวนี้จะทำให้คุณเรียนรู้ที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างแน่นอน

ถ้าคุณไม่คิดริเริ่มหรือกล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่ ๆ เลย คุณก็ไม่อาจคว้าโอกาสที่จะสร้างอนาคตใหม่ได้เลย

3. Sense of Ownership

การอยากพัฒนาองค์กร ทำให้คนในทีมเกิดความรู้สึกว่างานของเขามีความหมาย และสิ่งนี้จะทำให้เขารักงานที่เขาทำจริง ๆ

Adam Grant นักเขียนชื่อดังได้ทำการสำรวจว่า ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแผนกไหนที่ลาออกเยอะที่สุด เขาพบว่า แผนก Call Center ที่โทรไปขอเงินบริจาคให้กับเด็ก ๆ คือกลุ่มที่มีความสุขน้อยที่สุดและอยากลาออกมากที่สุด เนื่องจากต้องเจอการปฏิเสธอยู่บ่อยครั้ง

สิ่งที่ Adam ทำคือ ให้แผนก Call Center ได้เห็นและพูดคุยกับเด็กนักเรียนทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากเงินบริจาค เมื่อทีม Call Center เห็นว่า เงินบริจาคที่พวกเขาต้องโทรไปขอกับคนมากมาย ต้องอดทนกับความไม่พอใจและเสียงปฏิเสธนับไม่ถ้วน กลับส่งให้เด็กคนหนึ่งได้โอกาสเรียนหนังสือและทำให้เขาได้มีอาชีพการงานที่ดีมากพอที่จะกลับไปพัฒนาชุมชนของเขาได้ นั่นจึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ทีมงานได้รู้สึกว่า ‘งานของพวกเขามีความหมาย’

เมื่องานพวกเขามีความหมาย การทำงานจึงไม่ใช่ความทุกข์อีกต่อไป ส่งผลให้ยอดเงินบริจาคพุ่งขึ้นไปถึง 350% และอัตราการลาออกลดลงทันที

สิ่งสำคัญคือการทำให้ทีมรู้ว่า ‘เขาสร้างอะไรให้กับคนอื่นบ้าง’

ซึ่งทั้งสามสิ่งนี้จะเป็นเหมือนพื้นฐานให้เราได้เตรียมพร้อมสู่การเป็นผู้นำ หรือเป็นเหมือนเช็กลิสต์ให้เหล่าลีดเดอร์ทุกคนได้ลองทบทวนกับตัวเอง และอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้นำยุคนี้ต้องเจอคือการบริหารและพัฒนาทีม เพราะการจะเป็นหัวหน้าที่ดี ก็ต้องมาพร้อมกับทีมที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน


⭐ อยากเป็นผู้นำที่มีคนตาม ก็ต้องสร้าง Trust ที่แท้จริงให้ได้

การเป็นผู้นำที่ดี ผู้นำที่ทีมรัก และผู้นำที่ใคร ๆ ก็อยากเดินตาม อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แม้คุณจะมี Mindset ที่ก้าวหน้า พร้อมผลักดันทีมให้ไปยังเป้าหมายที่นำมาซึ่งความสำเร็จ แต่สิ่งที่จะทำให้คุณทำสิ่งทั้งหมดนี้ได้ คุณต้องกลับมามองตัวเองว่า คุณเป็นผู้นำที่ดีแล้วหรือยัง?

คุณเคน นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ CEO & Editor-in-Chief, THE STANDARD ใน Session: Future Leader ได้กล่าวถึง 6 วิธีการทำอย่างไรให้ลูกน้องเชื่อใจคุณ คือ

1. ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง (Role Model)

คนแรกที่ต้องเริ่มทำคือผู้นำ ถ้าผู้นำไม่ทำ ลูกน้องก็จะทำเช่นเดียวกัน เพราะเขารู้สึกว่าหัวหน้ายังไม่ทำเลย ทำไมเขาต้องทำด้วย ดังนั้นสิ่งที่ผู้นำต้องมี คือ การลงมือทำ มีผลงานจับต้องได้ และมีประสบการณ์ ถ้าทำสามสิ่งนี้แล้วจะสามารถสร้าง Trust ได้

2. รู้ความต้องการลูกน้อง (Empathy)

หาให้เจอว่าจุดไหนที่ลูกน้องต้องการมากที่สุด อะไรคือคุณค่าที่เขาให้ค่ามากที่สุด เช่น

  • ความหมายหรือคุณค่าของงาน
  • ความมั่นคงทางการเงิน
  • โอกาสในการเติบโต
  • ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง
  • การสนับสนุนและการพัฒนา
  • สมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว
  • การได้รับการยอมรับและคำชื่นชม
  • สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี

3. สื่อสารให้เก่ง (Communication)

การสื่อสารไม่ใช่การ Inform ไม่ใช่การพูดว่า “ฉันบอกไปแล้วนะ” สิ่งนี้คือการบอกไม่ใช่การสื่อสารและไม่เกิดการ Connect เป้าหมายของการสื่อสารที่ดีคือการมี Connection หรือการเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน โดยมีวิธีคือ

  • จริงใจ ต้องเชื่อว่าสิ่งที่จะมอบให้ลูกน้องเป็นสิ่งที่ดีจริง ๆ
  • เรียบง่าย เรื่องอะไรก็ตามที่ดูซับซ้อนลองทำให้ดูง่าย เรียบเรียงให้ดูง่าย
  • ชี้แนะ ไม่ชี้นำ ไม่ต้องไปบอกว่าให้เขาทำอะไร ชี้แนะให้เป็นทางเลือกให้เขาทำ
  • พูดสิ่งที่คนอยากฟัง เขาอยากฟังอะไร เขาต้องการอะไร เราต้องทำการบ้าน

4. ให้พื้นที่ฉายแสง (Empower)

หัวหน้ามี 4 ระดับ คือ หัวหน้าที่เราเกลียด หัวหน้าที่เรากลัว หัวหน้าที่เรารัก และหัวหน้าที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเขาอยู่

การจะเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องรักได้นั้นต้องกล้าที่จะเป็น “ผู้นำรับผิด ลูกน้องรับชอบ” ถ้าคุณเป็นผู้นำที่ไม่สามารถ Protect ลูกน้องได้ใครจะกล้าไว้วางใจคุณ ทุกครั้งที่มีความดีความชอบคุณต้องมอบสิ่งนั้นให้กับลูกน้องอย่างจริงใจเพื่อเป็นพื้นที่ให้เขาได้ฉายแสง

5. เป็นที่พึ่งพาให้ลูกน้อง (Supportive)

‘รู้สึก’ (Feeling) มากกว่า ‘รู้’ (Knowledge)

ให้ลองถามลูกน้องว่าเขารู้สึกอย่างไร ถามแบบนี้จะทำให้เราได้เข้าใจเขาอย่างถ่องแท้และทำให้เราได้ช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งให้กับเขาได้อย่างแท้จริง

6. มอบพลังให้ลูกน้อง (Energize)

หัวหน้าที่ดีที่สุด = หัวหน้าที่อยากให้ “ลูก-น้อง” เก่งกว่าตัวเอง

ผู้นำที่ดีคือการที่ยอมให้ลูกน้องก้าวข้ามตัวเองไปได้ ถ้าเราหวังดีกับเขาจริง ๆ ก็ต้องหวังดีเหมือนพ่อแม่ที่หวังดีต่อลูก ไม่ว่าเขาจะทำผิดแค่ไหนแต่เราก็หวังดีกับเขาเสมอ เท่านี้เขาก็จะอยากทำงานให้เราอย่างจริงใจ

หน้าที่ของการเป็นผู้นำคือ ‘ขัดเกลาเขาให้เป็นคนที่ดีขึ้น’ และเป็น ‘ผู้ให้’

สุดท้ายแล้ว การเป็นผู้นำที่ดี คุณต้องสามารถสร้าง Trust ได้ และสิ่งนี้จะนำทีมไปสู่การพัฒนาการทำงานที่ยั่งยืน


⭐ การบริหารและพัฒนาทีมจากนี้คือ ‘สิ่งท้าทาย’

การจะผลักดันคนในทีมของคุณให้ได้ไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ย่อมท้าทายแตกต่างกันไป แต่การเป็นผู้นำแห่งอนาคตต้องเข้าอกเข้าใจทีมและสามารถผลักดันพวกเขาให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

โดย คุณเรวดี ทรัพย์อุดมกุล Senior Executive Vice President (เจ้าของสำนักงานตัวแทน เจริญกรุง), คุณรัชกฤช ตั้งวิชิตฤกษ์ Vice President (เจ้าของสำนักงานตัวแทน ซีดับเบิ้ลยู ทาวเวอร์), คุณขวัญชนก สิขิวัฒน์ Executive Vice President (เจ้าของสำนักงานตัวแทน สี่แยกสุทธิสาร) และคุณมินรญาภรณ์ ธนาพรอรญาทัศน์ Vice President (เจ้าของสำนักงานตัวแทน เทพารักษ์) ใน Session: How Does AO Affect Your Future? ได้นำเสนอเรื่องการบริหารจัดการทีมอย่างไรให้ทีมมีความสุข และมีแนวคิดในการพัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดด

✅ มีแนวคิดก้าวหน้า

ทำให้ทีมงานรู้สึกอยากพัฒนาตัวเองมี Mindset ของความก้าวหน้า และทำให้เขารู้ว่า ‘ทำไม’ เขาต้องก้าวหน้าไปถึงจุดที่คุณตั้งเป้าเอาไว้

✅ มีระบบพื้นฐานที่แข็งแรง

การมีระบบพื้นฐานหรือโครงสร้างที่แข็งแรงจะทำให้ทีมของคุณสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง ดังนั้นผู้นำควรที่จะต้องกลับมาดูว่ามาตรฐานหรือรากฐานขององค์กรเป็นอย่างไร ถ้ายังไม่แข็งแรงและมีแผนที่ไม่ชัดเจนก็อาจทำให้ทีมของคุณไม่สามารถเติบโตได้

✅ มี Know-How

สิ่งสำคัญคือคุณต้องรู้ว่าอะไรสำเร็จ-ไม่สำเร็จ และสิ่งนั้นสำเร็จได้อย่างไร ความสำเร็จต้องทำซ้ำได้ ผู้นำต้องสามารถถ่ายทอด Know-How ให้ทีมได้ ไม่ใช่แค่เก่งคนเดียวแต่ทีมไม่รู้วิธี นั่นก็อาจจะทำให้ทีมไม่เติบโตเลยก็เป็นได้

✅ รู้ปัญหาและหาวิธีแก้ไข

การเป็นผู้นำต้องรับฟังปัญหาของทีมงานอยู่เสมอ เมื่อรับรู้ปัญหาแล้วก็ต้องรีบหาวิธีแก้ไขที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด นั่นจะทำให้แม้ว่าทีมของคุณจะเจออุปสรรค แต่ก็สามารถข้ามผ่านมันไปได้เพื่อเข้าใกล้เส้นชัยเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง

✅ ความสำเร็จของทีมก็คือความสำเร็จของเรา

การพัฒนาให้ทีมเติบโตได้อย่างมีความสุขนั้น อย่ามัวแต่โฟกัสเรื่องกำไรเป็นหลัก ให้หันกลับมามองทีมอยู่เสมอว่าเขาเป็นอย่างไร มีอะไรที่ผู้นำอย่างคุณสามารถซัพพอร์ตได้ นั่นจะนำพาให้ทีมของคุณมีความสุข และนำมาซึ่งความสำเร็จที่แท้จริงให้กับองค์กรได้

เมื่อคุณสร้าง Mindset และวัฒนธรรมองค์กรที่ทำให้ความสำเร็จของทีมเท่ากับความสำเร็จขององค์กรแล้ว สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือการตั้งเป้าหมายในการทำธุรกิจที่เหล่าผู้นำควรมี


ต่อยอดสู่การตั้งเป้าหมายที่ทำได้จริงด้วย SMART Goal

โดยคุณสง่า พิชญังกูร Speaker | Trainer | Coach ใน Session: Dear Future Me ได้อธิบายว่าองค์กรควรต้องมีการตั้งเป้าหมายแบบ SMART Goal ว่าคือ

✅ S-Specific

ต้องวางเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการอะไร เช่น จนถึงสิ้นปีนี้เราต้องการอะไร ต้องการเลื่อนตำแหน่งจากอะไรไปเป็นอะไร ไม่ใช่บอกว่าจะเป็นทีมงานที่ดีที่สุด แต่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงอะไรเลย

✅ M-Measurable

วัดผลและตรวจสอบได้ การวางแผนที่ตรวจสอบไม่ได้จะทำให้แผนของคุณไม่ประสบความสำเร็จ

✅ A-Achievable

การตั้งเป้าหมายต้องทำได้จริง ไม่ใช่ฝันทำในสิ่งที่เอื้อมไม่ถึง

✅ R-Relevant

ตั้งเป้าหมายที่สัมพันธ์กัน ‘ไม่ใช่ได้หนึ่งเสียหนึ่ง’ ทุกอย่างต้องสอดคล้องกัน เวลาทำอะไรบางอย่างในชีวิตต้องใช้ชีวิตให้สัมพันธ์กันแล้วมันจะต่อเนื่องลื่นไหล

✅ T-Time-bound

กำหนดระยะเวลาของเป้าหมาย เช่น จะทำแต่ละเรื่องให้จบสิ้นเมื่อไหร่ กำหนด Deadline ของตัวเองให้จบเมื่อไหร่ อย่าวางแผนอะไรที่ไม่มีขอบเขตของระยะเวลา


นอกจากนี้ คุณโทมัส ชาลส์ วิลสัน CEO & Country Manager, Allianz Ayudhya ได้กล่าวถึงความภาคภูมิใจในทีมงานทุกท่าน และพูดถึงวิสัยทัศน์ของ Allianz Ayudhya ที่ไม่ได้หยุดนิ่ง เพื่อผลักดันให้ทีมงานสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กันเติบโตต่อไปได้ในอนาคตอีกด้วย


เนื้อหาจากงาน AO AWARDS 2024: FUTURE IS YOURS ที่ทาง Allianz Ayudhya จัดขึ้นมาเพื่อมอบรางวัลแก่ AO ที่สามารถสร้างผลงานได้อย่างน่าจดจำ และยังส่งต่อความรู้ดี ๆ ในการบริหารจัดการคน มุ่งสู่การเป็นผู้นำในอนาคต

trending trending sports recipe

Share on

Tags