‘เพราะการพักสำคัญไม่แพ้การฝึก’
หลังจากการฝึกฝนครั้งสุดท้ายก่อนการแข่ง นักกีฬาจะใช้เวลาเพื่อการพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายให้เต็มที่ เพื่อให้สภาพร่างกายและสภาพจิตใจของพวกเขาได้อยู่ในขั้นที่ดีที่สุด จนสามารถใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ และมันเป็นตำราแห่งความสำเร็จในโลกแห่งกีฬาที่เรียบง่ายนิดเดียว และตำรานี้ยังใช้กับโลกธุรกิจได้ด้วยเช่นกัน
เพราะคุณสมบัติของผู้นำและนักบริหารที่ดี คือความสามารถในการจัดสรรเวลาอย่างมีคุณภาพและมีกลยุทธ์ เพื่อทำให้ทุกคนในทีมได้ฝึกฝนความสามารถของตัวเองและยังมีเวลาเหลือสำหรับการพักผ่อนและฟื้นฟูศักยภาพร่างกายและจิตใจ จนสามารถแสดงศักยภาพที่ดีที่สุดในการทำงานออกมาได้
วันนี้เราเลยมี 4 เรื่องที่อยากแนะนำ ให้บรรดาผู้บริหารและระดับหัวหน้าได้ลองนำไปปรับใช้ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ในการพาทีมไปสู่ความสำเร็จ
เปลี่ยนการเล่าเรื่องใหม่
ลองเล่าเรื่องราวของบริษัทในลักษณะที่ต่างออกไปจากเดิม ซึ่งเรื่องราวนี้ไม่ควรเป็นการโฟกัสตัวเลขของระยะเวลาที่ทุ่มเทไป แต่เป็นเรื่องคุณภาพและศักยภาพที่จะดำเนินไปในแนวทางเดียวกับเป้าหมายใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม แม้วิธีนี้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันจะมอบประโยชน์กลับคืนมากับธุรกิจได้มากกว่าที่หลายคนคาดคิด
นอกจากนั้นภาษาที่ใช้ในการเล่ายังส่งอิทธิพลต่อเรื่องราวและการเดินทางของบริษัทได้ไม่น้อย และยังสะท้อนเรื่องของคุณค่า (Values) วิสัยทัศน์ (Vision) และพันธกิจ (Mission) ของบริษัทได้ และมันยังทำให้เห็นวิธีที่บริษัทจะดำเนินไปข้างหน้าได้ด้วยเช่นกัน
ผู้บริหารอาจเลือกใช้คำพูดที่สามารถสะท้อนศักยภาพของมนุษย์ออกมาได้ แทนการเน้นย้ำถึงเรื่องของ Productivity หรือการพูดปลุกเร้าให้พนักงานรู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็นเครื่องจักร เพื่อสร้างพื้นที่ให้ทุกๆ คนได้เติมเต็มศักยภาพและการพัฒนาเติบโตของตัวเอง
เป็นตัวอย่างให้ทีม
มีคนทำงานระดับหัวหน้าหลายคนที่เป็นเหมือนกับหนูแฮมสเตอร์ซึ่งวิ่งตลอดเวลาในวงล้อ พวกเขาวิ่งและวิ่งอยู่อย่างนั้น ทว่าสร้าง Progress ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จนท้ายสุดของวัน พวกเขาก็มักจะหมดแรง และรู้สึกราวกับว่าตนเองไม่ได้บรรลุผลตามที่หวังเอาไว้ ความรู้สึกเหล่านี้คือสัญญาณที่บอกว่าเรากำลังอยู่ในโหมดของการหาทางรอด หรือตกอยู่ในภาวะเบิร์นเอาท์ การมองหาจุดสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว ในส่วนของวการพักและการฟื้นฟูตัวเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น เพราะการที่คนเราจะมีชีวิตนอกเหนือจากเวลางานนั้นถือเป็นเรื่องปกติ และมันเป็นเรื่องดีที่คนเราจะมีงานอดิเรกด้วย เพราะไอเดียที่ดีที่สุดมักจะมาในเวลาที่เรากำลังทำอย่างอื่น และมันเป็นสิ่งสำคัญที่บรรดาหัวหน้าหรือผู้นำจะสาธิตให้ทีมเห็นว่าการรีชาร์จตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ดีและควรทำแค่ไหน
เปิดโอกาสให้ทุกคนได้พูด และฟังความต้องการของทุกคนในทีม
ความอันตรายของการเป็นหัวหน้าหรือผู้นำ คือเวลาที่พวกเขาต้องการจะฟังเพียงแต่สิ่งดีๆ หรือเรื่องราวในแง่บวก ซึ่งในสภาพแวดล้อมแบบนั้น มันคือความกลมเกลียวที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา ผ่านการเก็บงำความรู้สึกที่ไม่มีความสุข ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดี และอาจส่งผลกระทบกับการมีส่วนร่วมของคนในทีมและศักยภาพในการทำงาน การเปิดโอกาสให้คนในทีมได้แชร์สิ่งที่พวกเขารู้สึกหรือเรื่องที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ โดยไม่พยายามรีบแก้ปัญหาหรือรีบตัดสิน จะทำให้คนในทีมรู้สึกถึงการยอมรับ และสิ่งนี้สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมได้
มีการวิจัยด้านประสาทวิทยาด้วยการสแกน MRI แสดงให้เห็นว่าเมื่อคนเราได้แชร์ความรู้สึกของตัวเอง ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีการตัดสิน มันจะช่วยลดอารมณ์ความรู้สึกในแง่ลบของสมองในส่วน Amygdala ได้ และการที่คนเรารับรู้ว่าเราสามารถจะเป็นตัวเอง และได้รับการยอมรับจากการเป็นตัวเอง ไม่ใช่จากสิ่งที่พวกเขาทำ คือรากฐานของการปลดปล่อยศักยภาพของมนุษย์และการทำงาน
ปรับใช้ No-Blame Culture
เราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ และเราทุกคนต่างก็ทำเรื่องผิดพลาด สิ่งเหล่านี้ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการเรียนรู้ของมนุษย์ เหมือนกับการมองความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมชาติ และเป็นหนึ่งในย่างก้าวของเส้นทางที่จะพาเราไปสู่ความสำเร็จ เว้นเสียแต่ว่าเราไม่ได้เรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดของตัวเองเลย จึงจะเป็นความล้มเหลวที่แท้จริง
โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมการล่วงหน้าที่จะสร้างความรำคาญใจหรือทำให้คนอื่นต้องท้อแท้ หรือแม้แต่ทำให้ทุกอย่างยุ่งเหยิง วิธีที่ผู้นำหรือหัวหน้าจะรับมือกับความโชคร้ายหรือปัญหาที่เกิดขึ้น และวิธีการสร้างความแตกต่างและการสร้างความอยู่ดีมีสุขรวมถึงการมีส่วนร่วมของคนในทีมในช่วงเวลาที่เกิดปัญหา จึงเป็นตัววัดความสามารถในความเป็นผู้นำของพวกเขา
โลกของธุรกิจ จึงแทบไม่ต่างกับโลกของกีฬา ที่บางครั้งเราก็ชนะ บางครั้งเราก็แพ้
และการหาเวลาพักเพื่อฟื้นฟูตัวเอง ก็สำคัญไม่แพ้ฝึกฝนศักยภาพและเทคนิคใหม่ๆ พร้อมกันนั้นการร่วมมือกันและการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ทำให้เราและทีมก้าวข้ามการเล่นเพื่อชนะเพียงอย่างเดียว แต่ทำให้เราได้เล่นเพื่อที่จะเติบโตอย่างงดงาม
เพราะไม่ว่าจะโลกกีฬาหรือโลกธุรกิจ ต่างมีมนุษย์ เป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อน การไม่ฝืนธรรมชาติและไม่พยายามเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นเครื่องจักร แต่หาจุดสมดุลเพื่อให้มนุษย์ได้แสดงศักยภาพที่ดีที่สุดของตัวเองออกมา จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ สำหรับทั้งสองโลก
อ้างอิง