ในขณะที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างก้าวกระโดด องค์กรต่าง ๆ ไม่เพียงแค่ต้องปรับตัวอย่างหนักเท่านั้น แต่ยังต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้
ที่งาน Techsauce Global Summit 2023 ในเซสชัน Digital Transformation & The Risks that Follow นั้น คุณ Kamo Basentsyan, Head of Unified Pre-Sales - APAC Group-IB ได้ออกมาเล่าถึง 6 เทรนด์ของ Digital Transformation ที่จะนำมาใช้ในการขับเคลื่อนนวัตกรรมทั่วทั้งอุตสาหกรรมในภายภาคหน้า
1. ปฏิวัติระบบคลาวด์ด้วยโมเดล XaaS (Anything as a Service)
โมเดล XaaS ได้ปฏิวัติระบบคลาวด์ขึ้นมาใหม่ ด้วยรูปแบบการส่งมอบบนคลาวด์ที่เข้าถึงบริการทุกประเภทโดยมีผู้ให้บริการรายเดียว สิ่งนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงบริการด้านไอทีที่หลากหลายตามความต้องการได้ ตั้งแต่ การประมวลผล หาพื้นที่เก็บข้อมูล พัฒนาซอฟต์แวร์ และการวิเคราะห์ นอกจากนั้นโมเดลนี้ยังทำให้องค์กรมากมาย สามารถประหยัดรายจ่ายได้มากขึ้น ในขณะที่สามารถมุ่งเน้นไปที่การทำธุรกิจของพวกเขา โดย Fortune Business Insights คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดของ Xaas จะเพิ่มขึ้นจาก 545.35 พันล้านดอลลาร์ในปี 2022 เป็น 2,378.07 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2029
2. เสิร์ชเอนจินอัจฉริยะ (Intelligent search)
Intelligent search เป็นระบบที่ช่วยยกระดับการค้นหาข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม แถมยังให้ผลลัพธ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งการเรียนรู้ และเข้าใจบริบทของ machine learning, computer vision, semantic search กับ natural language นั้นจะช่วยให้ธุรกิจสามารถดึงข้อมูลที่มีค่ามาใช้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่ง Intelligent search ก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยในการตัดสินใจ แถมยังกยกระดับประสิทธิภาพการทำงานขึ้นมาด้วย
3. เชื่อมผู้คนผ่านธุรกิจเสมือนจริง (Virtual business collaboration)
Virtual business collaboration คือการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ผู้คนสามารถทำงานร่วมกันได้จากระยะไกล ทำให้เราสามารถอำนวยความสะดวกในการทำงานเป็นทีมด้วยเครื่องมือต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การประชุมออนไลน์, แพลตฟอร์มการทำงานออนไลน์ รวมถึงการแชร์ไฟล์ที่ช่วยให้สามารถสื่อสาร และทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลกก็ตาม เทรนด์การทำงานนี้ช่วยจะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน รวมทั้งสามารถเข้าถึงผู้คนได้กว้างขึ้น
4. ระบบอัตโนมัติที่ถูกคุมโดยมนุษย์อีกที (Automation)
จากผลสำรวจพบว่า ผู้นำองค์กรกว่า 80% กำลังพิจารณาเปลี่ยนระบบการทำงาน ให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานจากระยะไกลแทน
ระบบอัตโนมัติใช้เทคโนโลยีที่ควบคุมโดยมนุษย์ (Robotic Process Automation หรือ RPA) ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และทำให้พนักงานมีเวลาโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์มากขึ้น โดยระบบอัตโนมัตินี้สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในภาคส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการบริการลูกค้าเลยล่ะ
นอกจากนั้นจากการวิจัยของ Saleforce ก็ได้รายงานว่า 95% ของผู้นำด้านไอที และวิศวกรรมต่างให้ความสำคัญกับระบบเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติที่อยู่ภายในองค์กรของพวกเขา
5. ยุคแห่งปัญญาประดิษฐ์ และแมชชีนเลิร์นนิง (Artificial Intelligence and Machine Learning)
ในเดือนมกราคม 2023 ChatGPT สร้างสถิติเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยจำนวนผู้ใช้งาน 100 ล้านคนต่อเดือน หลังจากนั้นเพียง 2 เดือนหลังจากเปิดตัว ทุก ๆ วัน ผู้คนจะใช้เจ้า AI ตัวนี้เพื่อแก้โค้ด เขียนบทหนัง รวมถึงทำการบ้านจนเสร็จสรรพ
อย่างที่ทราบกันดีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิง (ML) เป็นเทคโนโลยีอันทรงพลังที่สามารถใช้เพื่อทำให้เราสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น โดย AI ถูกสร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์ ในขณะที่ ML ช่วยให้ระบบสามารถเรียนรู้ได้เองโดยมีเพียงแค่ข้อมูล ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้ได้ปรับปรุงกระบวนการทำงานในธุรกิจภาคต่าง ๆ เช่น บริการลูกค้า การตรวจจับการฉ้อโกง และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาด ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงทางธุรกิจที่หลากหลาย
6. นักพัฒนาซอฟต์แวร์จะย้ายไปใช้ Low-Code / No-Code มากขึ้น
แพลตฟอร์มแบบ Low-Code / No-Code ช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันได้ โดยไม่ต้องมีความเชี่ยวชาญในการเขียนโค้ดมากนัก เราสามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือลาก และวางส่วนประกอบที่สร้างไว้ล่วงหน้า โดนแพลตฟอร์มประเภทนี้ช่วยลดต้นทุนการพัฒนา เร่งเวลาออกสู่ตลาด และเพิ่มศักยภาพให้พนักงานที่ไม่เชี่ยวชาญด้านเทคนิคมีส่วนร่วมในการสร้างแอปพลิเคชันได้
โดยในเซสชัน พวกเขาได้กล่าวว่าแพลตฟอร์มแบบ Low-Code / No-Code จะมีมูลค่าทางอุตสาหกรรมถึง 13.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 65% ของการพัฒนาซอฟต์แวร์ภายในปี 2024