รู้จัก ‘Inclusive Leadership’ หัวหน้าแบบที่ใครก็อยากทำงานด้วย

Last updated on ส.ค. 25, 2024

Posted on ส.ค. 19, 2024

อะไรที่จะทำให้คนทำงานรู้สึกว่า พวกเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับองค์กร จนเกิด ‘Ownership’ กับงานมากที่สุด?

การได้รับการยอมรับนับถือจากเพื่อนร่วมงานเป็นส่วนหนึ่งในนั้น แต่ปัจจัยสำคัญที่ ‘จูเลียต เบิร์ก’ (Juliet Bourke) ศาสตราจารย์ด้านการจัดการ มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลล์ (University of New South Wales) ระบุ คือคำพูดและการกระทำของหัวหน้าที่มีผลต่อการสร้างความรู้สึกร่วมของทีม

เธออ้างอิงผลวิจัยที่ถูกเขียนขึ้นในหนังสือ ‘Which Two Heads Are Better Than One: The Extraordinary Power of Diversity of Thinking and Inclusive Leadership’ โดยบอกว่า ท่าทีของหัวหน้าสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงและแตกต่างให้คนทำงานได้มากถึง 70%

คำพูดและการกระทำของหัวหน้าสำคัญมาก เพราะยิ่งคนทำงานรู้สึกมีส่วนร่วม พวกเขาก็จะยิ่งทุ่มเท และอยากทำงานร่วมกันมากขึ้น และท้ายที่สุดเมื่อคนทำงานมีเป้าหมายเดียวกัน ตัวแสดงที่ได้รับประโยชน์สูงสุดก็คือ ‘องค์กร’ แต่กว่าจะเป็นผู้นำที่สร้าง ‘Bond’ แบบนี้ในทีมได้ สูตรนี้ต้องสร้างขึ้นจากผู้นำที่มีลักษณะแบบ ‘Inclusive Leadership’ ก่อน เป็นผู้นำที่ปรับตัวเข้าได้กับทุกความต้องการของลูกน้อง ลูกค้า และตลาด

แล้วผู้นำแบบ ‘Inclusive Leadership’ เป็นแบบไหน?

🤔 มุ่งมั่นกับเป้าหมาย เข้าใจไบแอสของตัวเอง ปรับตัวเป็น

ลักษณะของ ‘Inclusive Leadership’ อย่างแรกต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่ใช่แค่มุ่งมั่นกับเนื้องาน แต่ยังต้องมุ่งมั่นที่จะซื่อตรงกับการสร้างความหลากหลายในทีม ไม่แบ่งแยกหรือเลือกที่รักใครคนใดคนหนึ่งมากกว่า โดยความมุ่งมั่น หรือ ‘Visible commitment’ คือกระดุมเม็กแรกของ ‘Inclusive Leadership’

ขณะเดียวกัน ผู้นำต้องยอมรับข้อผิดพลาดเป็น สร้างพื้นที่ให้คนทำงานเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญไปกว่านั้น และเป็น ‘กับดัก’ ที่หัวหน้าหรือผู้นำหลายคนยังไม่สามารถก้าวผ่านไปได้ คือการตระหนักรู้ถึงอคติส่วนตัว หรือ ‘Awareness of bias’ ในทุก ๆ การตัดสินใจ ปัจเจกบุคคลมักมีมุมมองส่วนตัวที่ก่อร่างจากประสบการณ์ในอดีต จนทำให้ ‘Perception’ ที่เรามีต่อสิ่งนั้นถูกพร่าเลือนด้วยอคติส่วนตัว นี่คือจุดบกพร่องที่คนเป็นผู้นำต้องระลึกไว้เสมอว่า ความคิดเห็นของเราไม่ได้ถูกต้อง 100% ไปทั้งหมด

นอกจากนี้ ต้องไม่หยุดที่จะสร้างความสนใจใคร่รู้ที่เรามีต่อความคิดเห็นของคนอื่น ๆ ด้วย คนที่มี ‘Inclusive Leadership’ จะเปิดกว้าง รับฟังโดยไม่ตัดสิน หาจุดตรงกลางเพื่อทำความเข้าใจคนรอบข้างไปพร้อม ๆ กัน ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ ‘Effective collaboration’ หรือการทำงานร่วมกันเป็นทีมอย่างมีประสิทธิผล


🤔 สร้าง ‘Inclusive Leadership’ ด้วยการพาตัวเองไปอยู่ใน ‘สถานการณ์ที่ไม่สบายใจ’

จะเป็นผู้นำแบบ ‘Inclusive Leadership’ ได้ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า อันดับแรกให้จัดตั้งที่ปรึกษาส่วนบุคคล โดยคนกลุ่มนี้ต้องสนิทกับเราพอตัว พูดคุยกันเป็นประจำ ไว้วางใจกันในระดับที่พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาได้ ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่หัวหน้าเข้าประชุมร่วมกันลูกน้องในทีมให้คนกลุ่มนี้เข้าไปสังเกตการณ์ด้วย เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้วให้ที่ปรึกษาฟีดแบ็กการทำงานของคุณกลับมาว่า ในระหว่างการประชุมคุณได้ให้พื้นที่กับทุกคนเท่ากันรึเปล่า มีท่าทีโน้มเอียงหรือขัดขวางลูกน้องคนไหนหรือไม่

ข้อต่อมา คือการจัดเซสชันแบ่งปัน ‘Learning Journey’ ของตัวคุณเองกับคนทำงานระดับหัวหน้าด้วยกัน เพื่อเป็นการสะท้อนบทเรียนที่ได้รับจากการเป็นหัวหน้า ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราตระหนักรู้ถึงข้อผิดพลาดของตัวเองจากการพูดออกมาดัง ๆ ทั้งยังเป็นการจัดการกับอคติของตัวเราเองได้เป็นอย่างดี เพราะการมีพื้นที่ให้คนระดับหัวหน้าได้เปิดอก-ยอมรับข้อผิดพลาดซึ่งกันและกันช่วยจัดการกับอคติเหล่านี้ได้ ทั้งยังทำให้เราเป็นหัวหน้าที่ ‘Be kind’ มากขึ้น

ส่วนสุดท้าย คือการพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สบายใจดูบ้าง จะทำให้หัวหน้าได้รับรู้บริบทที่หลากหลายมากขึ้น เช่น การประชุมร่วมกับส่วนงานอื่น ๆ ที่ไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง อาจเข้าไปนั่งเป็นผู้สังเกตการณ์ดูก็ได้ หรือการผัดเปลี่ยนหมุนเวียนที่นั่ง ในออฟฟิซ ไม่จมอยู่ในห้องทำงานของตัวเองเพียงอย่างเดียว สถานการณ์ที่ต่างไปจากเดิมอาจทำให้คุณได้พบกับเส้นขอบฟ้าที่ยังไปไม่ถึงก็ได้นะ


ที่มา

trending trending sports recipe

Share on

Tags