องค์กรไหนยังใช้ Third party Application แบบฟรีอยู่ จะทำให้เสียโอกาสในแง่ Productivity Hack อย่างมหาศาล
ทุกองค์กรใช้ ‘Third party Application’ กันอยู่แล้ว เช่น Google Meet, Microsoft Teams, Slack, Lark, Trello เป็นต้น ซึ่งที่ Bitkub ของคุณท๊อปใช้ Third party Application มากถึง 200 แอปพลิเคชัน ในการช่วยทำงาน
คุณท๊อปได้เล่าถึงมุมมองของ 1 เทรนด์ด้าน Tech & AI ที่จะสร้างอิมแพคต่อธุรกิจไม่ว่าจะธุรกิจขนาดเล็ก, ธุรกิจขนาดกลาง หรือองค์กรใหญ่ คือเรื่องของ “AI Premium Features บน Third party Application ทั้งหมด” เพราะวันนี้ทุกแอปพลิเคชันกำลังแข่งขันกันในการเปิดใช้งานฟีเจอร์ AI Premium เพื่อให้ Automation Workflow หรืออะไรก็ตามที่ต้องทำซ้ำ ๆ ทำให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
ในวันนี้เราจะเห็น Third party Application ที่นำ AI เข้ามาหลายแอปแล้ว เช่น GmailAI, SlackAI, EvernoteAI, SparkAI เป็นต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในโจทย์ของคนทำธุรกิจในปีหน้าคือ “ทุกองค์กรต้องจ่ายแพงขึ้น เพื่อที่จะเข้าถึง Premium Features” ไม่ควรจะใช้ Free Version โดยเด็ดขาด! เพราะการใช้งานฟรีไม่สามารถเข้าถึง Features AI ที่มีประสิทธิภาพได้เลย
แต่ในทางกลับกัน การจ่าย AI Premium Features จะทำให้เข้าถึง AI Capability หรือศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ที่พัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาการทำงาน หรือช่วยเหลือมนุษย์ในด้านต่าง ๆ โดยอาศัยการประมวลผลข้อมูล การเรียนรู้ และการตัดสินใจอัตโนมัติ ซึ่งจะตอบโจทย์เรื่องของ Productivity Hack จะพุ่งมหาศาลกว่าคนที่ใช้แบบฟรีหลายเท่าตัว
ถึงเวลาแล้วที่ทุกองค์กรควรใส่ใจ และลงทุนกับ AI Premium Features
นี่จึงเป็นที่มาของคำตอบที่ว่า ทำไมเทรนด์ของ ‘AI Premium Features’ ถึงมีความสำคัญ แล้วมีเรื่องไหนบ้างที่เราควรให้ความสำคัญในการเข้าใจเทคโนโลยีเพื่อนำมาปรับใช้กับธุรกิจ รวมไปถึงการพัฒนาคนทำงานไปพร้อม ๆ กันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. หน้าที่ของผู้บริหารต้องปลดล็อก Tools: AI Premium Features เพื่อปลดล็อกเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดให้กับคนทำงาน
เราไม่สามารถหยุดรอว่า AI ตัวไหนดี ตัวไหนไม่ดี ตัวไหนน่าใช้อีกต่อไป เพราะในปี 2025 นี้จะเกิด AI Premium Features มากมายใน Third party Application มันจะไม่มีคำตอบของคำว่า ‘แอปไหนดีที่สุด’ แต่คุณต้องลองใช้
สิ่งสำคัญที่สุด คือหน้าที่ของผู้บริหารต้องปลดล็อก Tools เหล่านี้ให้กับทีมได้ใช้จริง เพื่อให้ทีมงานเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในการทำงานแบบชาญฉลาดขึ้น และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
คุณท๊อปเสริมอีกว่าโปรแกรมเหล่านี้ ในระยะยาวมันจะเชื่อมโยงเข้าหากันอย่างไร้รอยต่อ (Seamlessly) เพราะในปัจจุบัน Corporate Jobs หรืองานที่พวกเราทำกันในองค์กรส่วนใหญ่ 90% มาจากการทำงานแบบเดิม ๆ วนไปไม่รู้จบ ซึ่ง AI Premium Features เหล่านี้จะเข้ามาเชื่อมต่อและอีกหน่อยแอปมันจะคุยกันเอง เกิดการ Automate หลังบ้านทั้งหมด ทำให้คนทำงานเอาเวลาไปสร้างงานได้จริง ๆ เพื่อให้เกิด Creativity ใหม่ ๆ
2. ในปีนี้ AI ไม่ได้มาแทนที่อาชีพในปี 2025 แต่ AI จะมาแทนที่งานที่ทำซ้ำ ๆ ในการ Automate Task งานของพวกเรา
ตัวอย่างเช่น วันนี้หากคุณเป็น Marketing Manager คุณอาจจะมีงานที่ต้องรับผิดชอบ 10 อย่าง แล้วใน 10 งานนี้ มีงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ (Repetitive Tasks) เช่น การป้อนข้อมูล, การส่งอีเมล, การทำพรีเซนต์ จะถูกแทนที่ด้วย Automate Task มี AI ทำให้ และหน้าที่ของ Marketing Manager อีกส่วนคือการใช้ Heart เพื่อสร้าง Value ของการเป็นคนตั้งแต่ Relationship และ Soft Skills ต่าง ๆ
ดังนั้นแล้วคนทำงานยุคใหม่ต้องบาลานซ์เรื่องนี้ให้ดี คุณต้องมีทั้งสมองอย่าง AI และมีหัวใจอย่างความเป็นมนุษย์ เพราะเมื่อไหร่ที่ AI เข้ามา Automate Task ได้อย่างสมบูรณ์ ในวันนั้น Soft Skills จะมีความสำคัญมากขึ้นทันที รวมไปถึงการผลิตงานที่ใช้ Creativity มากกว่าใช้แรงงานหรือการทำอะไรซ้ำ ๆ นั่นเอง
คุณท๊อปเล่าให้ฟังว่า ล่าสุด World Economic Forum มีเคสที่น่าสนใจอย่าง GUCCI® โดย CEO ของบริษัทได้นำนโยบายการใช้ AI ในบริษัทเพื่อเพิ่ม Skill Set ใหม่ โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดคือกลุ่มพนักงาน CS (Customer Service) ที่รับโทรศัพท์ลูกค้าจากคนที่ซื้อกระเป๋า GUCCI ทั่วโลก ตั้งแต่การดูแลเรื่องพื้นฐานไปจนถึงคำแนะนำการซักล้างกระเป๋าต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่รู้เรื่องโปรดักต์ดีที่สุด
เมื่อนโยบาย AI เกิด การเริ่มใช้ AI เข้ามาใน Automate Task งานของ CS เช่น ตอบคำถามลูกได้ตรงประเด็นมากขึ้น ซึ่งการซัพพอร์ตลูกค้าได้ถูกจุดนี้ช่วยประหยัดเวลาไปได้ถึง 40% ของการทำงาน และมีเวลาเพิ่มขึ้นโดยทีม CS ก็สามารถผันตัวเองไปเป็น Sale ขายได้ เพราะเขารู้เรื่องผลิตภัณฑ์ไม่แพ้ใครเลย กลายเป็นว่าคนทำงานก็ได้ทักษะ รายได้เพิ่ม ส่วนบริษัทก็ได้ยอดขายเพิ่มขึ้น ซึ่ง Win-Win กันทั้งองค์กรนั่นเอง
3. การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของ AI ทำให้เกิดกลุ่มคนที่เรียกว่า ‘Smart Creative’
มนุษย์ทองคำในอนาคต หรือทรัพยากรที่มีคุณค่าในอนาคต องค์กรที่ประสบความสำเร็จในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมักต้องการคนกลุ่มนี้เพื่อแข่งขันในโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว คือกลุ่มคนที่ Google ตั้งชื่อมาเรียกว่า ‘Smart Creative’ ซึ่งเป็นคนที่จะสามารถทำ 3 อย่างนี้สำเร็จ ซึ่งเราเรียกมันว่า Magic หรือเวทมนตร์ของมนุษย์ทองคำในยุคนี้
Magic 1: Business Expertise (ความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจ)
คือคนที่รู้ว่าโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก แล้วอะไรล่ะที่มันไม่เปลี่ยน ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร มันจะมีสิ่งที่ไม่เปลี่ยนอยู่เสมอ เช่น ความต้องการ (Demand) มันก็ยังไม่หายไป, ลูกค้าก็ยังไม่หายไป พบเจอปัญหาแก้ไขกันเหมือนเดิม เป็นต้น การรู้สิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อการนำพาธุรกิจไปในทิศทางที่ตอบโจทย์ลูกค้าและสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้จริง
คือคนที่รู้ว่าโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก แล้วอะไรล่ะที่มันไม่เปลี่ยน ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร มันจะมีสิ่งที่ไม่เปลี่ยนอยู่เสมอ เช่น ความต้องการ (Demand) มันก็ยังไม่หายไป, ลูกค้าก็ยังไม่หายไป พบเจอปัญหาแก้ไขกันเหมือนเดิม เป็นต้น การรู้สิ่งเหล่านี้จำเป็นต่อการนำพาธุรกิจไปในทิศทางที่ตอบโจทย์ลูกค้าและสร้างผลกำไรให้กับบริษัทได้จริง
Magic 2: Technical Expertise (ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค)
คือคนที่รู้ว่าแล้วอะไรมันเปลี่ยนไป คือบุคคลที่สามารถหยิบจับเวทมนตร์มาใช้ให้เป็น และสามารถเข้าใจคาถา เพราะแต่ละคาถาก็ให้พลังเวทมนตร์ที่ต่างกัน ในการแก้ไขแต่ละ PainPoint ซึ่งนั่นก็คือเครื่องมือใหม่ ๆ เพราะไม่ใช่เครื่องมือเดียวจะแก้ไขได้ทุกอย่าง เราต้องเข้าใจว่า Blockchain แตกต่างจาก AI อย่างไร หรือต่างจาก 3D Printing ต่างจาก Big Data อย่างไร
เวทมนตร์และชนิดให้ความสามารถคนละแบบ มันไม่ใช่ AI อย่างเดียวแก้ได้ทุกอย่างในโลกใบนี้
ยกตัวอย่างเช่น AI แก้เรื่อง Digital Scarcity หรือความขาดแคลน ซึ่งเป็นการสร้างความจำกัดของสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นในโลกดิจิทัล สิ่งนี้ AI ไม่สามารถแก้ได้ เพราะต่อให้เราอัปโหลดมูลค่าเข้าโลกออนไลน์แล้วมันมีจำนวนจำกัดได้ สิ่งนี้ต้องแก้ด้วย เทคโนโลยีอย่าง Blockchain เพื่อกำหนดว่าสินทรัพย์นี้จะมีจำนวนจำกัด เช่น NFT (Non-Fungible Token) ซึ่งสามารถสร้างเป็นภาพดิจิทัลที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก เป็นต้น
Magic 3: Creativity (ความคิดสร้างสรรค์)
เมื่อรู้ว่าอะไรที่มันไม่เปลี่ยน แล้วรู้ว่าอะไรมันเปลี่ยน การนำมาผสมผสานให้เข้ากันอย่างลงตัวด้วยความคิดสร้างสรรค์คือเวทมนตร์สุดท้ายที่สำคัญในการสร้าง Business Model ใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ตัวอย่างเช่น Web 2.0 เองก็เปลี่ยนแปลงมาจาก Web 1.0 จากเดิม Internet ต้องใช้โมเด็ม (modem) ภาวนาให้มันติดก่อนถึงจะเล่นได้ และก็ใช้ได้แค่ที่บ้าน จนมาถึงยุคของ 4G เราสามารถใช้ Internet จากนอกบ้านได้ เร็วขึ้นอย่างมหาศาล หรือคอมพิวเตอร์เท่าตู้เย็นเมื่อก่อน แต่ตอนนี้เราพกพาไปไหนก็ได้ เป็นต้น
4. Soft Skills จะมีความสำคัญมากกว่า Hard Skills
คุณท๊อปได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ใน World Economic Forum และรับรู้ถึงเรื่องของทักษะที่จำเป็นต่อโลกอนาคต โดยส่วนใหญ่จะเป็นฝั่งของ Soft Skills มากกว่า Hard Skills หรือ Technical Skills เพราะ Soft Skills เป็นทักษะที่เราต้องฝึกฝนอย่างจริงจัง มันไม่สามารถ Automation ได้ด้วยเทคโนโลยี
[ 6 Soft Skills ที่สำคัญในปี 2025 ]
Communication Skills (ทักษะการสื่อสาร)
ความสามารถในการถ่ายทอดข้อมูล ความคิด หรือความรู้สึกไปยังผู้อื่นได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ ทั้งในรูปแบบการพูด, การเขียน หรือภาษากาย
Leadership Skills (ทักษะการเป็นผู้นำ)
ความสามารถในการนำทีมงาน หรือกลุ่มคนให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน โดยใช้การสื่อสาร การสร้างแรงบันดาลใจ และการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ
Public Speaking Skills (ทักษะการพูดในที่สาธารณะ)
ความสามารถในการพูดต่อหน้ากลุ่มคนจำนวนมากอย่างมั่นใจ ชัดเจน และโน้มน้าวใจ
Negotiation Skills (ทักษะการเจรจาต่อรอง)
ความสามารถในการพูดคุยและหาข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง หรือต่างความคิดเห็น
Teamworking Skills (ทักษะการทำงานเป็นทีม)
ความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน โดยอาศัยการประสานงาน ความรับผิดชอบ และความเข้าใจกัน
Adaptability Quotient (ความสามารถในการปรับตัวและรับมือกับการเปลี่ยนแปลง)
โดยคำย่อของทักษะนี้คือ AQ ซึ่งต้องฝึกฝนด้วยการทำตัวไม่เป็นคนน้ำเต็มแก้ว ไม่คิดว่าตัวเองเก่งที่สุด แต่ต้องเป็นคนเปิดรับสิ่งใหม่ ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกที่ไม่แน่นอน โดยเน้นความยืดหยุ่น การเรียนรู้ตลอดชีวิต
[ 2 Technical Skills ที่สำคัญในปี 2025 ]
คุณต้อง Navigate AI ให้เป็น
ต้องรู้จักใช้ AI ว่าจะนำทางไปอย่างไร เสมือนกับการใช้เครื่องคิดเลขยี่ห้อใหม่นี้ให้เป็น เพราะมันไม่ได้คิดแค่เลขได้อย่างเดียว แต่มันต้องคิดรอบด้าน ตั้งแต่ นำทางการตัดสินใจ, นำทางในระบบที่ซับซ้อน รวมไปถึงปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้งานด้วยการใช้ AI
Prompt Engineer ให้เป็น
คนที่ตั้งคำถาม และถามคำถามได้อย่างถูกต้อง จะได้เปรียบ! ในการใช้ AI หากคุณไม่สามารถ Prompt ได้อย่างชำนาญ ระดับการได้ข้อมูลก็จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน เสมือนกับ Google Search ทุกคนเข้าถึงได้เหมือนกัน แต่ทักษะการ Search เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ กลับไม่เท่ากัน ผลลัพธ์ก็จะแตกต่างกัน
และทั้งหมดนี้คือการเปลี่ยนแปลงที่มีจุดร่วมมาจาก “AI Premium Features” หน้าที่สำคัญของการพัฒนาทักษะมากมายนี้ จุดเริ่มต้นคือผู้นำองค์กร ถ้าเราต้องการให้มี AI Capabilities ก็ต้องเริ่มต้นปลดล็อก AI Premium Features ก่อน เพราะเป็นเรื่องพื้นฐานของการเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของ AI แล้วนำไปสู่การสร้างสภาพแวดล้อมต่อการทำงานที่เอื้อให้เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เรียนรู้เรื่อง AI แบบลงลึกได้จริง
องค์กรจะเปลี่ยนได้ต้องเริ่มจาก "Top-Down” หรือคนที่อยู่บนสุด” เพราะ “Bottom-Up หรือคนล่างสุด” มันเปลี่ยนยาก เพราะฉะนั้นผู้นำมีความสำคัญ หน้าที่ของผู้นำคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้นวัตกรรมเกิด ซึ่งต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจก่อนเสมอ!
สัมภาษณ์ เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ