‘ครอบครัว’ คือสิ่งใกล้ตัวที่หลายคนเผลอละเลย เพราะยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งไม่เห็นความสำคัญของคนที่อยู่ข้างกันมาตลอด
หากใครได้ชม ‘หลานม่า’ ภาพยนตร์ฟูลฟีลหัวใจจากค่ายหนังอารมณ์ดี GDH คงรับรู้ได้ว่าเนื้อหาของหนังนั้นกระตุ้นความรู้สึกเราให้มีอารมณ์ร่วมได้ดีขนาดไหน เพราะหนังเล่าถึงเอ็ม เด็กหนุ่มที่รู้ว่าอาม่าของตนป่วยด้วยโรคร้าย เขาจึงอาสาไปดูแลอาม่า เพื่อหวังสมบัติของอาม่าในช่วงบั้นปลายชีวิต
ในบทความมีเนื้อหาที่พูดถึงประเด็น และเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์หลานม่า
หลานม่าเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลกภาพยนตร์ เพราะหนังสามารถสร้างอารมณ์ที่เรียกว่า ‘หนังจบ คนไม่จบ’ จนสร้างความประทับใจไว้ในหัวใจคนดูไปอีกนาน นั่นเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าภาพยนตร์ไม่ใช่แค่สื่อบันเทิง แต่ยังเป็นบันทึกเรื่องราว ที่สอดแทรกบทเรียนชีวิตอันมีค่า ที่ทำให้เราเห็นความสำคัญของคนข้างกาย
และนี่คือ 5 บทเรียนชีวิตจากภาพยนตร์หลานม่า ที่ CREATIVE TALK นำมาฝากคุณผู้อ่าน
บทเรียนที่ 1 จงเตรียมพร้อมกับปัญหายามบั้นปลาย
หัวใจสำคัญของหลานม่า อยู่ที่เรื่องราวของหลานผู้กลับมาดูแลอาม่าในช่วงบั้นปลายชีวิต เพื่อหวังสมบัติของอาม่า ซึ่งสิ่งหนึ่งที่หลานม่าพยายามเล่าอยู่ตลอดคือเรื่องของ Caregiver หรือการดูแลผู้สูงอายุ
ประเทศไทยเรานั้น เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปเรียบร้อย ผู้สูงอายุจึงมีมากกว่าคนหนุ่มสาว ซึ่งการเป็น Caregiver นั้นมีทั้งงานที่ได้เงิน (อาชีพ) และงานไม่ได้เงิน (หน้าที่) นั่นทำให้การดูแลผู้สูงวัยต้องใช้ความอดทน เห็นอกเห็นใจ และการเสียสละเป็นอย่างมาก ซึ่งประเด็นของ Caregiver นั้นทำให้เราเห็นภาพว่า หากไม่เตรียมพร้อมกับการเกษียณในวันนี้ เราอาจมีปัญหาในช่วงบั้นปลายได้
บทเรียนที่ 2 มีเงินแค่ไหน ก็ซื้อเวลาไม่ได้
‘เวลาของเรากำลังเดินไปข้างหน้า แต่เวลาของคนที่เรารักกำลังนับถอยหลัง’
บทเรียนเรื่องเวลา คือหนึ่งในสัจธรรมที่เห็นชัดที่สุดของหนังหลานม่า เพราะหนังย้ำเตือนเราถึงความล้ำค่าของเวลาอยู่เสมอ เวลาพรากครอบครัวไปจากอาม่า เวลาพรากชีวิตของคนให้แยกออกไป แต่แม้มันจะเป็นสิ่งที่เจ็บปวดแค่ไหน เวลาก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้อาม่ามีความสุขเมื่อได้อยู่กับลูกหลาน แถมมันยังเป็นสิ่งที่ทำให้เอ็มสามารถชนะใจอาม่าได้
สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำเรื่องการให้ความสำคัญของเวลามากกว่าเงินตรา เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าลูกหลานจะมีเงินแค่ไหน หรืออาม่าจะมีเงินเก็บเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถที่จะซื้อ ‘เวลา’ ได้อยู่ดี ซึ่งบทเรียนนี้ทำให้คนดูเห็นความสำคัญกับสิ่งที่กำลังผ่านพ้นไป และใช้มันอย่างมีค่ากับคนรักของเรา
บทเรียนที่ 3 ใช้หัวใจเพื่อลดช่องว่างของความรู้สึก
ความรัก ยังคงเป็นธีมหลักที่หนังหลานม่าสะท้อนออกมาผ่านสายสัมพันธ์ของครอบครัว ซึ่งมันคือสิ่งที่อาม่าอยากให้กับลูกหลานทุกคน และมันก็เปลี่ยนพระเอกไปเช่นกัน จากความต้องการเงินในตอนแรก แต่เมื่อได้ผูกพันกับอาม่าทำให้เอ็มได้รู้สึกถึงความรักของอาม่า ซึ่งท้ายที่สุดทั้งอาม่า และเอ็มก็ได้ให้กันและกันเป็นที่ 1 ในหัวใจโดยไร้เงื่อนไข
หลานม่านั้น พาไปสำรวจเรื่องราวของความซับซ้อนในครอบครัว ตั้งแต่ความรักที่ไม่บอกของอาม่า สู่การเปิดอกคุยกันในช่วงบั้นปลายชีวิต โดยบทเรียนนี้ทำให้เราได้เห็นถึงพลังของความรัก ว่ามันช่วยลดช่องว่าง สร้างความสุขที่ไม่คาดคิดออกมา จนสามารถเติมช่องว่างในจิตใจของตัวละคร และคนดูให้ผูกพันมากกว่าเดิม
บทเรียนที่ 4 สายสัมพันธ์คือสิ่งที่มีค่าที่สุด
บทเรียนสำคัญอีกบทหนึ่งจากหลานม่า คือความสำคัญของการทลายกำแพงที่แยกเราออกจากคนที่เรารัก เชื่อเลยว่าหลายคนเองนั้นก็เคยต้องประสบกับการที่เราต้องแยกจากครอบครัว หรือจากคนรัก ด้วยปัจจัยสำคัญของชีวิต ไม่ว่าจะตั้งใจให้เกิดหรือไม่ แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เราเกิดช่องว่างทางความสัมพันธ์ เฉกเช่นเดียวกับตัวละครในเรื่อง
อย่างไรก็ตาม ด้วยความอดทน ความเข้าใจ และความเห็นอกเห็นใจ เอ็มได้เรียนรู้ที่จะทลายกำแพงในใจของอาม่า ซึ่งตอกย้ำให้คนดูรับรู้ว่า การเผชิญหน้ากับอุปสรรคในความสัมพันธ์ของตน จะก้าวไปสู่การปรองดอง และการให้อภัย โดยตระหนักว่าสายสัมพันธ์ของครอบครัวนั้นคือสิ่งมีค่าแค่ไหน
บทเรียนสุดท้าย ยังอยู่ในหัวใจ
ท้ายที่สุดแล้วหลานม่า ก็พาไปถึงจุดที่เรื่องย่อได้เล่าเอาไว้ แม้ว่าเราจะรู้ว่ามันเกิดอะไร แต่จังหวะหนังที่มาอย่างถูกต้องนั้น ก็สร้างความประทับใจให้เรามความสุขกับช่วงเวลานั้น สิ่งนี้สอนให้เรารู้ว่าชีวิตนั้นคือความไม่แน่นอน แม้ว่าการดำรงอยู่ของชีวิตจะถึงจุดสิ้นสุด แต่ช่วงเวลาอันมีค่าที่ได้ทิ้งไว้ จะยังคงมีชีวิตอยู่ในหัวใจของคนที่รักเราเสมอ
บทเรียนชีวิตจากหนังหลานม่านั้น ทำให้เราได้หันกลับมามองตัวเอง ว่าวันนี้เราใช้ชีวิตกับคนที่รักได้คุ้มค่าแล้วหรือไม่ เพราะท้ายที่สุดแล้วหนังก็เป็นเพียงตัวกระตุ้นที่ทำให้คนดูเห็นความสำคัญของคนข้างกาย ฉะนั้นแล้วเมื่อมีโอกาสจงกอดเขาไว้ให้แน่น เพราะเราไม่อาจรู้ว่ากอดสุดท้าย จะมาถึงวันไหน
เรียบเรียง: พีรพล สดทรัพย์