‘Mindfulness’ เทรนด์พฤติกรรมคนที่พร้อมปล่อยจอยในปี 2025 โดยคุณเก่ง แห่ง CREATIVE TALK

เมื่อโลกเข้าสู่วัยว้าวุ่น ‘Mindfulness’ จึงเป็นหนึ่งเทรนด์สำคัญที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมคนในปี 2025 คาดการณ์เทรนด์โดยคุณสิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม แห่ง CREATIVE TALK

Last updated on ม.ค. 14, 2025

Posted on ม.ค. 8, 2025

“เหนื่อย และท้อ”

น่าจะกลายเป็นคำติดปากของใครหลายคนในช่วงปี 2024 ที่ผ่านมา และเชื่อว่าถูกใช้เป็น Motto ยาวมาจนถึงปีนี้

เมื่อพูดถึงเทรนด์พฤติกรรมของคนที่จะเปลี่ยนแปลงไป นอกจากความสนใจ ความชอบ การบริโภค การทำงานแล้ว ส่วนหนึ่งที่จะเกิดขึ้นคงนี้ไม่พ้น ‘ความขี้เกียจ’ ที่จะถูกปลุกขึ้นมาในตัวคนมากขึ้น คนที่อยากจะปล่อยจอย อยากจะชิล ๆ ไม่อยากเหนื่อยกับการวิ่งไล่ตามบางสิ่งไปเรื่อย ๆ 

โดยคุณเก่ง - สิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม CEO and Founder at RGB72 and CREATIVE TALK ได้พูดถึง 1 เทรนด์ที่เกี่ยวข้องการพฤติกรรมของคน ที่เราจะเห็นได้ชัดเจนขึ้นในปี 2025 นั่นก็คือเรื่องของ ‘Mindfulness’ เมื่อคนอยากทิ้งตัว ในวันที่โลกไม่เป็นดั่งใจ ตัวช่วยอย่าง ‘สติ’ จึงเป็นคำตอบ

กำเนิด Mindfulness: โลกเปลี่ยน เศรษฐกิจพัง และชีวิตที่ไร้ Balance

Mindfulness ไม่ใช่คำใหม่ เพราะเมื่อดูกันที่ความหมายจริง ๆ เทรนด์นี้คือเรื่อง ‘การฝึกสติ’ ดังนั้นคนที่มี Mindfulness คือคนที่มีสภาวะจิตใจที่ดี มีสติ ไม่ใช้อารมณ์ในการคิด หรือตัดสินปัญหาที่เข้ามาในชีวิต ช่วยถอดตัวเราเองออกจากความเจ็บปวด และเมื่อคนมีสิ่งนี้มากขึ้นก็จะทำให้การมองโลก รวมถึงการทำงาน การทำธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น และเข้าใจบริบทต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น

แล้ว Mindfulness กลายมาเป็นเทรนด์ของคน ที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมได้อย่างไร?

เศรษฐกิจปั่นป่วน ชวนเราปวดใจ: 

ต้องยอมรับว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยไม่สู้ดีนัก เราได้ยินมาทุกปีว่าเศรษฐกิจไทยจะแย่ลง และยังไม่เคยเห็นปีไหนที่ถูกพูดว่าจะดีขึ้นเลย ดังนั้นเหตุผลนี้จึงส่งผลให้ธุรกิจไทยจำนวนมากต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ที่จะมาปั่นป่วนทั้งตัวเราและตัวธุรกิจ นำไปสู่ความเครียดที่เราจะต้องเผชิญจากภาวะนี้

เทคฯติดเทอร์โบ แต่คนติดสปีดที่เร็วไม่เท่า: 

การเปลี่ยนแปลงความรู้ และการมาถึงของเทคโนโลยีรวดเร็วมาก นึกภาพง่าย ๆ อย่าง ChatGPT แค่เรื่องเดียวในหนึ่งปี ก็เห็นมันเติบโตแทบจะรายควอเตอร์เลยก็ว่าได้ ทำให้หลายคนต้องกระตือรือร้นที่จะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อัปเดตอยู่ตลอดเวลา บางคนก็สนุกกับการตามโลก แต่บางคนก็เหนื่อยกับการวิ่งตามโลกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พอตามไม่ทันพลันก็ทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ฉลาดอย่างช่วยไม่ได้ 

งานกับชีวิตผูกติดกันแบบไร้ Balance: 

หลังเทรนด์ Work from home มาแรงแซงทางโค้ง เทคโนโลยีทำให้เราสามารถทำงานผ่านมือถือ คุยกันผ่านมีตติ้งออนไลน์ได้แบบง่าย ๆ จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการแบ่งเวลาพักผ่อนและเวลาทำงานนั้นทำได้ยากยิ่งขึ้น ซึ่งเรื่องนี้คุณเก่งได้ขยายความถึง Work Life Balance ในมุมของ ‘สมอง’ เมื่อคนไม่สามารถหยุดพักโดยเอางานออกจากหัวได้ แม้จะอยู่ในช่วงของการพักก็จะยังทำให้เกิดความเครียด บางทีเรื่องบาลานซ์อาจไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเวลางานหรือเวลาเลิกงานแบบตอกบัตร แต่หมายถึงเวลาของสมองของเราเองในการที่จะหยุดพัก หรือเริ่มคิดเรื่องงานมากกว่า

ไม่แข่งยิ่งแพ้ แม้จะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง: 

อีกหนึ่งเรื่องที่ส่งผลต่อความเหนื่อย ความเครียดของเราคือเรื่องการแข่งขันทางสังคม ในที่นี้ไม่ใช่แค่การแข่งขันทางธุรกิจ หรือการแข่งแย่งชิงอันดับการสอบเท่านั้น แต่หมายถึงการที่เราเห็นความสำเร็จของคนรอบตัวบนโซเชียลมีเดียด้วยเช่นกัน บางคนอาจจะรู้สึกอยากจะเป็นแบบคนนั้น อยากทำให้ได้แบบคนนี้ ทำไมถึงไปไม่ถึงเงินล้านแบบคนนั้นบ้าง บางทีโซเชียลที่เราอยู่ก็ทำร้ายเราได้มากกว่าที่คิด

“ความเครียดที่น่ากลัวที่สุดคือความเครียดที่ไม่รู้ว่าตัวเองเครียดอยู่” ซึ่งความเครียดที่ไม่รู้ตัวนี่แหละ คือสิ่งที่ปี 2025 คนจะเผชิญกันเยอะขึ้นอีกเรื่อย ๆ  Mindfulness จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ


เติมคุณค่า เข้าใจคนอื่น รู้ใจตัวเอง ผ่านพฤติกรรม ‘Mindfulness’

ต้องยอมรับว่าคนกำลังมีปัญหานี้จริง ๆ รวมไปถึงตัวเราเองด้วย ซึ่งการมี Mindfulness จะช่วยให้เรามีสติ รู้ปัญหา เพราะพอเราเป็นคนที่ไม่รู้ปัญหานั้นน่ากลัว โดยเฉพาะกับการทำงาน รวมถึงคนที่เป็นเจ้าของกิจการ และนี่คือ 4 เรื่องสำคัญเกี่ยวกับเทรนด์พฤติกรรม Mindfulness ที่จะมาแรงในปี 2025

1. Mindfulness ไม่ยาก และเริ่มต้นได้จาก ‘ตัวเอง’

ในมุมของผู้บริหาร เจ้าของกิจการ คนทำธุรกิจควรกลับมาเช็กว่าตัวเองเป็นคนที่มีสุขภาวะทางจิตที่ดีหรือไม่ เริ่มต้นจากการ ‘เปิดใจ และยอมรับ’ ยอมรับว่ามีปัญหา ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ คุณต้องรู้ก่อนว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน หลังจากนั้นเราก็จะเข้าสู่กระบวนการฝึกสติ ซึ่งมีวิธีฝึกหลายอย่าง เช่น การนั่งสมาธิ, การแช่น้ำเย็น (Icebath), การขอบคุณตัวเองและสิ่งรอบข้างในทุกวัน หรือแม้แต่เรื่องที่ง่ายที่สุด คือการเอาตัวเองออกห่างจากโซเชียลมีเดียและโทรศัพท์มือถือ

อาจฟังดูเป็นเรื่องเหมือนธรรมะ ความเชื่อ จับต้องยาก แต่สิ่งเหล่านี้จะส่งให้เราได้รู้ถึงคุณค่าของตัวเอง รู้ถึงคุณค่าในสิ่งที่คุณมีในปัจจุบัน ซึ่งช่วยลดความเครียดลงไปได้มาก…เรื่องนี้ไม่ยาก แต่ต้องรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่

ถ้าวันนี้คุณมองว่าไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนี้ คำถามคือ “มีอะไรที่มีค่ามากกว่าตัวเอง” 

2. ‘ความสบายใจ’ จะกลายเป็นหัวใจหลักของการทำธุรกิจ

การเกิดขึ้นของเทรนด์ Mindfulness ที่มาแรงมากขึ้นหลังจากนี้ จะส่งผลกระทบต่อแนวทางการดำเนินธุรกิจเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะคนที่จะโฟกัสเทรนด์นี้ ยกตัวอย่างเช่น

  • ธุรกิจร้านกาแฟ: มีโซนเป็นมุมเงียบ ให้คนมาใช้บริการได้นั่งทานกาแฟแบบสงบ ๆ มีมุมส่วนตัว หลีกหนีความวุ่นวาย
  • ธุรกิจ Conference: ที่จะมีเรื่องราวมีสาระ สายเนิร์ดมารวมตัวกัน คนทำธุรกิจก็ต้องปรับว่าจะทำยังไงให้การมาหาความรู้เป็นการให้ความรู้ที่ย่อยง่าย สนุกขึ้น หรือมีกระบวนการให้คนร่วมงานได้ Engage กัน หรือแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกันได้

โดยรวมของ Mindfulness คือการที่เราต้องทำความเข้าใจลูกค้า เรื่องของการบริการน่าจะทำให้เห็นภาพของเรื่องนี้ชัดสุด ซึ่งงานบริการแทรกซึมอยู่ในทุกประเภทธุรกิจอยู่แล้ว แม้ว่าคุณจะขายของอยู่บนแพลตฟอร์ม Online Marketplace ก็ตาม เช่น การตอบคำถามลูกค้า เราตอบได้ตรงประเด็น แล้วคำตอบนั้นนำไปสู่การแก้ไขปัญหาทำให้ลูกค้าพึงพอใจได้มากน้อยแค่ไหน

ตัวอย่างแบรนด์ที่เข้ามาซัพพอร์ต Mindfulness ได้ดีในมุมคุณเก่งคือแบรนด์อย่าง POP MART จะสังเกตว่าการมาถึงของกล่องสุ่ม หรือกล่องจุ่มทำให้คนตื่นเต้นกันมาก เกิดเป็นกระแสมากมายที่ใคร ๆ ก็พากันซื้อตาม บางคนอาจจะตามซื้อจากศิลปินที่ชื่นชอบ แต่เชื่อเลยว่าบางคนซื้อเพราะชอบ Moment บางอย่างที่เกิดขึ้นจากการเปิดกล่องสุ่ม ได้ลุ้น ได้สนุกกับสิ่ง ๆ นี้


3. ขยับองค์กรได้ด้วยคนทำงานที่ไม่ Burnout

ความเครียดส่งผลต่อการทำงานอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะลดประสิทธิภาพของการทำงานแล้ว ยังส่งผลต่อผู้ร่วมงานคนอื่นด้วย ในปี 2025 ถ้าองค์กรไหนไม่ตระหนักเรื่องนี้อาจส่งผลกับสังคม และประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร ดังนั้นการส่งเสริมให้คนทำงานในองค์กรมีสุขภาพจิตใจที่ดีจะส่งผลต่อสังคมและผลงานขององค์กรอย่างมาก

หากผู้นำมี Mindfulness จะเป็นผู้นำที่นำด้วยสติ ความคิดที่มั่นคง เข้าใจตัวเองและผู้อื่น ลดการใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ส่งผลให้สามารถตัดสินใจอย่างมีเหตุผล สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพจิตของทีม ขณะที่การสร้างสังคมในองค์กรให้พนักงานมี Mindfulness จะช่วยลดความเครียดให้พนักงาน ลดอาการ Burnout, เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน, สร้างความสัมพันธ์ที่ดี และมีผลอย่างมากต่อความคิดสร้างสรรค์


4. รอดได้ใจต้องนิ่ง เน้นการทำงานตัวเบา

เมื่อเทรนด์ Mindfulness มา สิ่งที่คนทำธุรกิจจะต้องเตรียมความพร้อมหลังจากนี้ มีด้วยกัน 4 เรื่อง

4.1 ต้องมีสติ รอบคอบ และโฟกัสให้มาก

โดยเฉพาะธุรกิจ และลูกค้า เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคม เศรษฐกิจ เทคโนโลยีและพฤติกรรมลูกค้าจะทำให้เจ้าของธุรกิจหลุดโฟกัสได้

4.2 มอบความสุขให้ลูกค้า 

ให้เขาได้เห็นสิ่งใหม่ ๆ และได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการใช้สินค้าและบริการของเรา เพราะชีวิตมันเครียดมากพอแล้ว

4.3 มองหาโอกาสในต่างประเทศ 

เพราะโลกเราเป็น globalization แล้ว เส้นแบ่งระหว่างประเทศมันเลือนลางลงทุกที

4.4 เน้นการทำงานแบบตัวเบา 

ไม่ใช้คนเยอะในการขยายธุรกิจ ปัจจุบันนี้การขยายธุรกิจไม่ได้เกิดจากจำนวนคนอีกต่อไปแล้ว และเน้นใช้เทคโนโลยี เพราะไวกว่า รอบคอบกว่า และประหยัดกว่า ปัญหาน้อยกว่า


และทั้งหมดนี้คือเทรนด์พฤติกรรมของคน ที่จะเปลี่ยนไปในปี 2025 เป็นปีที่คนจะเริ่มมองหาพื้นที่ปลอดภัยกันมากขึ้น หามุมหลีกหนีจากความวุ่นวาย ใช้สติ ฝึกสมาธิ เพื่อค้นหากำแพงของตัวเอง ค้นหาทางออกของปัญหา ถ้าคุณไม่รู้เลยคุณก็จะปล่อยชีวิตไปเรื่อย ๆ แล้วก็จะไม่รู้ว่าตัวเองมีกำแพงที่ตัวเองต้องกระโดดข้ามอยู่ข้างหน้า 

เมื่อมีสติ มีสมาธิมากพอ บางครั้งเรื่องที่เราเคยเหนื่อย เครียด และท้อกับมัน อาจดูเล็กลงไปเลยนับจากวันที่เราไม่เคยได้รู้ว่ามาก่อนว่าสิ่งที่เราเผชิญอยู่คืออะไร 


สัมภาษณ์ เรียบเรียง: ชญานิศ จำปีรัตน์

trending trending sports recipe

Share on

Tags